| บทที่ 1
 บทนำ
 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ความเจริญรุดหน้าทุกด้านของมนุษยชาติในปัจจุบัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต ที่สามารถเชื่อมโลกให้เป็นหนึ่งเดียว และคอมพิวเตอร์ก็ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง
 ต่อทุกสังคมโลก ซึ่งการรับรู้ข้อมูลข่าวสารทั้งหลายทั้งปวงทุกวันนี้สามารถทำได้อย่างง่ายดายด้วยการคลิก
 เมาส์หรือกดแป้นคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์ และการลงทุนด้านธุรกิจ
            การวิเคราะห์ทางการแพทย์
            การวิจัย-
 ทางทหาร การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ อีกทั้งงานด้านการเกษตรหรืออุตสาหกรรมล้วนต้องพึ่งพาเทคโนโลยี
 คอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น
 ถึงแม้การตอบรับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในวงการศึกษาจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า อันเนื่องมาจากความหวาดหวั่นว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนครูผู้สอน อย่างไรก็ตาม นักเรียน นักศึกษาทั่วโลกสามารถติดต่อสื่อสาร
 กันได้โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การทำรายงานหรือการค้นหาข้อมูลในบางครั้งนั้นไม่จำเป็นต้องไปที่
 ห้องสมุดหรือเปิดตำราค้นคว้าอีกต่อไป เพราะสารสนเทศและข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตได้รวบรวมผลงานอัน
 หลากหลายของนักวิชาการ ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา นักคิด
            นักเขียน
            มารวมไว้เพื่อให้ทุกคนสามารถ
 แบ่งปันกันใช้
            ซึ่งการเข้าถึงข่าวสารเช่นนี้จะเป็นการแพร่กระจายการศึกษาและโอกาสส่วนตัว
            แม้แต่นักเรียน
 ที่ไม่มีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆหรือไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวก็มีโอกาสที่จะรับรู้ดังเช่นคนอื่นๆ
 อย่างไรก็ตาม  เทคโนโลยีดังกล่าวจะไม่ทำให้นักเรียนต้องโดดเดี่ยวหรือขาดการสัมพันธ์กับคนอื่นๆ เกตส์ (Gates, 1995) ได้กล่าวไว้ว่าประสบการณ์สำคัญที่สุดทางการศึกษาอย่างหนึ่งก็คือการทำงานร่วมมือ
 กับผู้อื่นในห้องเรียนแบบสร้างสรรค์ที่สุดของโลกโดยมีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายการสื่อสารเป็นเครื่องมือ
 ในการเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพธรรมดาระหว่างกลุ่ม นักเรียน หรือระหว่างนักเรียนกับครู อาจารย์
            ด้วยวิธีการ
 สร้างสรรค์แบบร่วมมือกัน ทำให้การเรียนรู้มิได้จำกัดอยู่แต่ในห้องเรียนหรือเพียงแต่อยู่ในความดูแลของ
 ครูผู้สอนเท่านั้น และการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อพัฒนาการศึกษาจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ
 สังคมโดยส่วนรวม
 การที่อินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ของโลกที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์นับล้านเครื่องเข้าด้วยกัน นับตั้งแต่เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจนถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่กระทั่งกลายเป็น
 เครือข่ายข้อมูลข่าวสารขนาดใหญ่ ทำให้การติดต่อสื่อสารและเข้าถึงข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว เช่น
            ห้องสมุด
 อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ทั่วโลก ข่าวสารในหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร  รวมทั้งบทความและเรื่องราวต่างที่น่าสนใจ
 ฯลฯ เป็นต้น
 	ประเทศไทยเริ่มสนใจและเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต  ตั้งแต่ พ.ศ.2530    โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(วิทยาเขตหาดใหญ่)  และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ซึ่งในปี พ.ศ.2531   วิทยาเขตดังกล่าวนับเป็นที่อยู่
 ของอินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย
 ประเทศไทยได้เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์ในปีพ.ศ.2535 เมื่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เช่าสายความเร็วสูงต่อเชื่อมกับเครือข่ายของบริษัทเอกชนที่รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
 ต่อมามหาวิทยาลัยมหิดล   มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าและมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
 บริหารธุรกิจ ได้ขอเชื่อมต่อผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเรียกเครือข่ายนี้ว่า ไทยเน็ต (THAInet)
 นับเป็นเกตเวย์ช่องทางแรก (Gateway) สู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตสากลของประเทศไทย (อธิปัตย์  คลี่สุนทร,
 2542)
 ปี พ.ศ. 2535 กระทรวงวิทยาศาสตร์ โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์
            แห่งชาติหรือที่เรียกว่า เนคเทค  (National Electronics and Computer Technology Center
            : NECTEC)
 ได้ดำเนินการเชื่อมโยงเครือข่ายของมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้าด้วยกันและเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ
 ภายใต้ชื่อว่าเครือข่ายไทยสาร (ThaiSarn : Thai Social/Scientific Academic and
            Research
 Network) ซึ่งเป็นเครือข่ายทางด้านการศึกษาและวิจัยของกลุ่มสถาบันการศึกษาของไทย
 	ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 โรงเรียนมัธยมหลายแห่งได้เชื่อมโยงเข้าสู่เครือข่ายไทยสาร
            และเมื่อการเชื่อมโยงเครือข่ายของโรงเรียนมัธยมได้รับความสนใจมากขึ้น
            ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และ
 คอมพิวเตอร์แห่งชาติจึงได้เริ่มโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย และให้ชื่อว่า
 SchoolNet
            Thailand (ยืน  ภู่วรวรรณ, 2540)
 โครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย หรือ SchoolNet  Thailand  คือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อโรงเรียนมัธยมในประเทศไทยเข้าสู่อินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยยก
 ระดับการศึกษาของเยาวชนไทย และส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองจากแหล่งความรู้ต่างๆ
            ที่มีอยู่ในโลก
 อีกทั้งใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างโรงเรียน ระหว่างครูกับครูระหว่างครูกับนักเรียน
 ตลอดจนถึงระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง อันจะเป็นการตอบสนองนโยบายของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
 และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
            รวมทั้งเป็นการดำเนินการตามนโยบาย
 เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (ไอที-2000) โดยมีศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
 เป็นผู้สนับสนุน  (สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการ เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ, 2540)
 สำหรับวัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าว
            นอกจากจะเป็นการพัฒนาคุณภาพของการศึกษาของเยาวชนไทยและลดความเหลื่อมล้ำของโอกาสทางการศึกษาโดยการใช้ประโยชน์จากเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์หรือ
 อินเทอร์เน็ตในการศึกษาและเรียนรู้ ยังถือเป็นโครงการที่ดำเนินการเพื่อตอบสนองรัฐธรรมนูญ มาตรา 78
 ที่กล่าวว่ารัฐต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพึ่งตนเอง และตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นได้เอง พัฒนาเศรษฐกิจ
 ท้องถิ่นและสาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงการพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่นให้ทั่วถึง
            และเท่าเทียมกัน
 ทั่วประเทศ...
 สำหรับวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาโดยตรงคือ  	1. เพื่อให้โรงเรียนมัธยมทั่วประเทศได้มีและได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษาและการเรียนรู้
 	2. เพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนเอกสาร สื่อสารสอน ดัชนีห้องสมุดระหว่างโรงเรียน และระหว่างโรงเรียนกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
 	3. เพื่อให้ผู้ใช้ (ทั้งครูและนักเรียน)
            ในระดับโรงเรียนได้เข้าถึงศูนย์ข้อมูลต่างๆ
            และห้องสมุดอินเทอร์เน็ต  	4.  เพื่อช่วยให้ครู อาจารย์ หรือนักเรียนในโรงเรียนสามารถติดต่อกับครู อาจารย์ หรือนักเรียนในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาอื่นๆ ในระดับโรงเรียนหรือสูงกว่าทั้งในและต่างประเทศ
 ปัจจุบันได้มีโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชนได้สมัครเข้าร่วมในโครงการจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ.2544 จำนวน 2,212 โรงเรียน
 (http://www.school.net.th/about/ schools/acc-recv, 2544)  เพื่อร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่โครงการ
 ได้จัดขึ้น อาทิ  กิจกรรมท่องอินเทอร์เน็ตซึ่งสิ่งเสริมให้นักเรียนค้นหาข้อมูลจากเครือข่าย ตามความสนใจ
 ของตน โครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งส่งเสริมให้ครูและนักเรียนเผยแพร่ผลงาน ทางการศึกษาของตน
 กิจกรรมประกวด Web Page ซึ่งส่งเสริมให้นักเรียนได้แสดงออกซึ่ง ความคิด สร้างสรรค์และสร้างความ
 คุ้นเคยกับเครือข่ายมากขึ้น กิจกรรมทำจุลสาร วารสารหรือนิตยสาร ออนไลน์ และโครงการห้องเรียนจำลอง
 ซึ่งส่งเสริมให้นักเรียนติดต่อกับเพื่อนๆ จากต่างประเทศ เป็นต้น (ถนอมพร  เลาหจรัสแสง,
            2541)
 การเข้าเป็นสมาชิกของโครงการนั้นศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติโดยห้องปฏิบัติการเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะจัดสรร Internet Account ให้แก่โรงเรียนที่ใช้บริการ
 เครื่อง K12  จำนวน  1 Account  ซึ่งแต่โรงเรียนที่เป็นของรัฐบาลจะได้รับการจัดสรรพื้นที่ 7 เมกะไบต์
 เพื่อให้นำเว็บเพจ (Web Page) มาลงโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย  และโรงเรียนจะต้องมีแผนงานพัฒนาโครงการ
 อินเทอร์เน็ตภายในโรงเรียนส่งยังศูนย์ก่อน อย่างไรก็ตาม กรณีที่โรงเรียนมีความพร้อมที่จะเชื่อมต่อ
 อินเทอร์เน็ตแบบโหนด (Node) และมีงบประมาณทางด้านโทรคมนาคมที่เพียงพอก็สามารถเชื่อมต่อ
 เป็นโหนดเข้ากับเครือข่ายไทยสารได้ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (หรือ สวทช.)
 และเนคเทคสนับสนุนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่โรงเรียนจะต้องชำระเงินอุดหนุนการเป็นสมาชิก
 ตามระเบียบการเชื่อมต่อ
 จากวัตถุประสงค์และการเข้าเป็นสมาชิกในโครงการ จะเห็นว่าในแต่ละโรงเรียนจะได้รับการ
            จัดสรรพื้นที่เพื่อให้นำเว็บเพจมาลง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของแต่ละโรงเรียนที่จะต้องออกแบบและจัด สร้างเว็บเพจ
 เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของโรงเรียน นอกจากนี้โรงเรียนอาจจะนำสื่อการสอนมาใส่ในเครือข่าย
 SchoolNet เพื่อให้นักเรียนหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาค้นหาข้อมูลได้
 เว็บเพจ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเว็บไซต์ (web site) หรือเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web
            : WWW หรือ  เรียกสั้นๆว่า เว็บ) โดยที่เวิลด์ไวด์เว็บเป็นบริการหนึ่งบนอินเทอร์เน็ตที่มีผู้นิยมใช้กันมาก
            และในเว็บไซต์หนึ่งๆ นั้นอาจจะมีเพียง 1 เว็บเพจ หรือมากกว่านั้นก็ได้
 สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (2540) ได้ให้ความหมายของเว็บเพจ(web page) ไว้ว่า คือหน้าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์บนเวิลด์ไวด์เว็บ ที่เสนอข้อมูลใดๆ ที่เจ้าของเว็บเพจ
 ต้องการจะใส่ลงไปในหน้าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นั้น เช่น ข้อมูลแนะนำตัวเอง หรือข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจ
 การเขียนหรือสร้างเว็บเพจ นั้นจะใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า HyperText Markup
            Language(HTML) ซึ่งสามารถแสดงข้อมูลได้หลายรูปแบบ เช่น ข้อความ ภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว
            รวมทั้งสื่อประสม
 (multimedia) และข้อมูลที่นำเสนอนั้นสามารถเชื่อมโยงในรูปของไฮเพอร์เท็กซ์
            (Hypertext) คือ เชื่อมโยง
 (Link) ไปยังเว็บเพจอื่นๆ ที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อไปเรื่อยๆ และแต่ละเว็บเพจ
            จะต้องมีที่อยู่อิเล็กทรอนิกส์
 บนเครือข่ายเฉพาะของตน ซึ่งแหล่งที่อยู่นี้เรียกว่า
            Uniform Resource Locator หรือ URL
 สำหรับลักษณะข้อมูลที่อาจปรากฏในเว็บเพจของโรงเรียนต่างๆ ที่เข้าร่วมในโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานของโรงเรียน คำขวัญและเพลงประจำโรงเรียน
 รายชื่อและคุณวุฒิของครูในโรงเรียน หลักสูตร/วิชาที่เปิดสอน เนื้อหาของแต่ละวิชา
            เอกสารประกอบ
 การเรียนการสอนในแต่ละวิชา เป็นต้น ทั้งนี้ ข้อมูลจะมีมากหรือน้อยและเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เข้าไป
 ดูมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและความตั้งใจจริงของผู้บริหารและครูที่รับผิดชอบในการ
 ดูแลเนื้อหาในเว็บเพจของโรงเรียนนั้นเอง (สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศ
 แห่งชาติ, 2540)
 	จิตเกษม  พัฒนาศิริ (2540) กล่าวถึงการสร้างเว็บเพจว่า มีลักษณะคล้ายกับการเขียนหนังสือให้น่าอ่านและการจะเขียนหนังสือให้น่าอ่านย่อมขึ้นอยู่กับการออกแบบหน้าปก เนื้อหา ว่าจะมีวิธีการอย่างไรถึงจะทำให้
 ผู้อ่านอยากอ่าน อยากติดตาม และการเข้าไปใช้งานบนเว็บเพจนั้นคล้ายกับการเดินทางไปในดินแดนต่างๆ
 ที่แปลกตา เพราะในแต่ละเว็บไซต์นั้นอาจมีการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่นที่ซับซ้อนอีกมากมาย
            ถ้าผู้ใช้รู้จัก
 เส้นทางที่ดีก็จะสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็วดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้สร้างและออกแบบ
 เว็บเพจที่จะต้องหาหนทางให้ผู้ใช้สามารถเดินทางไปสู่จุดหมายได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องตรงกับวัตถุประสงค์
 การใช้งาน อีกประการหนึ่งที่สำคัญในการออกแบบเว็บเพจคือ
            จะต้องมีสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกใน
 การค้นหาสถานที่ที่ผู้ใช้จะเดินทางไปได้โดยมีคำอธิบายสั้นๆ
            ถึงความสำคัญหรือภารกิจของเว็บไซต์
 ที่ผู้ใช้กำลังจะเลือกเดินทางไป
 	นีลเซ็น (Nielsen, 1996) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเว็บเพจ ได้ให้ข้อแนะนำที่น่าสนใจเกี่ยวกับการออกแบบและสร้างเว็บเพจว่าการใช้เฟรม (กรอบ) มากเกินไปจะทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสน
            ควรหลีกเลี่ยง
 การใช้ตัวอักษรเคลื่อนไหวทั้งหลาย การใช้ตัวชี้แหล่งในอินเทอร์เน็ต (URL)
            ที่มีความซับซ้อนและยากต่อ
 การพิมพ์การสร้างเว็บเพจที่ไม่สามารถเชื่อมโยงกลับไปโฮมเพจ
            การใช้แถบเลื่อนด้านข้างที่มีความยาวของ
 หน้ามากเกินไป (long scrolling) การขาดคำแนะนำสำหรับสืบค้นข้อมูล
            การไม่ใช้สีที่เป็นมาตรฐานในการ
 เชื่อมโยงความไม่ทันสมัยของข้อมูล การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ
            ที่ไม่มีความจำเป็นและไม่เหมาะสมในการ
 นำเสนอประการสุดท้ายคือการเข้าถึงข้อมูลที่ใช้เวลามากกว่า10 วินาที ซึ่งสิ่งต่างๆ
            เหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้
 เกิดความเบื่อหน่าย และอาจจะไม่เข้ามาชมเว็บเพจอีก
            ดังนั้นนักออกแบบเว็บเพจควรตระหนักและควร
 หลีกเลี่ยงไม่ให้มีขึ้น
 	นอกจากนี้ ยังได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเขียนหรือการนำเสนอบนเว็บไว้ว่า
            เนื้อหาที่จะนำเสนอบนเว็บนั้นควรมีความรัดกุม อ่านง่ายและมีวัตถุที่ชัดเจน ซึ่งจากการวิจัยโดยตัวเขาเองและทีมงานตั้งแต่ปี 1994
 ได้พบว่าเว็บส่วนใหญ่มีโครงสร้างที่คล้ายๆ กัน
 ในงานวิจัยดังกล่าวยังได้ศึกษาถึงโครงสร้างและองค์ประกอบต่างๆ
            ของเว็บไซต์ซึ่งพบว่าในแต่ละเว็บไซต์นั้นโดยรวมแล้วมีรูปแบบในการนำเสนอที่คล้ายคลึงกัน
            แต่อาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่าง
 ออกไปตามแต่วัตถุประสงค์ของเว็บไซต์นั้นๆ
            โดยการศึกษาครั้งนี้ได้ศึกษาโครงสร้างหรือองค์ประกอบของ
 เว็บซึ่งประกอบไปด้วย คือ ลักษณะโครงสร้างของเว็บตัวนำทาง การสืบค้นสารสนเทศ การออกแบบเว็บเพจ การวางโครงร่างลักษณะงานกราฟิก และสัญรูป
            เหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบหลักของการนำเสนอผ่านเว็บ
 และนอกจากนี้ยังกล่าวว่า
             เนื้อหาของการนำเสนอบนเว็บนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
            และผลจากการศึกษา
 ที่ต่อเนื่องกันยังพบสิ่งที่สนใจอีก 3 ประการคือ
             1)
            ผู้ที่เข้าไปในเว็บนั้นจะไม่ใช้วิธีการอ่านเนื้อหาหรือ
 สารสนเทศที่ปรากฏบนเว็บไซต์แต่จะเป็นการกวาดสายตาเพื่อหาสิ่งที่น่าสนใจ
             2)
            ผู้ที่เข้าไปในเว็บ
 ส่วนใหญ่ไม่ชอบที่จะใช้แถบเลื่อนด้านข้าง
            (scrolling) เพื่อการอ่าน
            ซึ่งผู้อ่านต้องการข้อความที่กระชับ
 และได้ใจความมากกว่า  3)
            ผู้ที่เข้าไปในเว็บต้องการให้สิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นข้อเท็จจริงมากกว่าอื่นใด
 จากผลการศึกษาดังกล่าว จะเห็นว่าทั้งการออกแบบและการนำเสนอข้อมูลสารสนเทศผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเวิลด์ไวด์เว็บนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้อย่างง่ายๆ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนมากมาย
 	อย่างไรก็ดี การออกแบบและการสร้างเว็บเพจในวงการศึกษายังเป็นเรื่องใหม่ อีกทั้งเอกสารและงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งต่างประเทศและในประเทศยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก
            
            ซึ่งถ้าหากมีการศึกษาถึงลักษณะ
 และรูปแบบ รวมทั้งแนวทางในการสร้างและออกแบบของแต่ละโรงเรียน
            เพื่อเป็นแนวทางของโรงเรียนที่
 จะเข้าร่วมโครงการในอนาคต ก็จะทำให้การนำเสนอข้อมูลข่าวสารของแต่ละโรงเรียนเป็นไปอย่างน่าสนใจ
 และน่าติดตามมากขึ้น
            ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความเห็นว่าควรจะมีการศึกษาถึงลักษณะการออกแบบและการสร้าง
 เว็บเพจของโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย
            เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาเว็บเพจ
 ของแต่ละโรงเรียนต่อไป
 Top วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาลักษณะการออกแบบและการสร้างเว็บเพจของโรงเรียนในโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย
 	2. เพื่อนำผลการวิจัยที่ได้ไปเป็นแนวทางในการออกแบบและสร้างเว็บเพจของโรงเรียนในโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทยที่จะเข้าร่วมโครงการในอนาคต
 	Top ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาถึงการออกแบบและการสร้างเว็บเพจ โดยสอบถามความเห็นของ
            เว็บมาสเตอร์หรือผู้ดูแลเว็บของโรงเรียนที่เข้าร่วมในโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทยปี พ.ศ. 2543
 ซึ่งประชากรมีจำนวน 227 โรงเรียน
 Top ข้อจำกัดของการวิจัย เนื่องจากการวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยส่งแบบสอบถามผ่านอีเมลไปยังกลุ่มตัวอย่าง ดังนั้น ข้อจำกัดในการวิจัยครั้งนี้คือ หากกลุ่มตัวอย่างไม่ตอบแบบสอบถามกลับมาทางอีเมล
            อาจเนื่องมาจากปัญหาของระบบเครือข่าย
 Top คำจำกัดความที่ใช้ในการวิจัย 1.	เครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย (SchoolNet Thailand) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อโรงเรียนในประเทศไทยเข้าสู่อินเทอร์เน็ต
 	2.	เว็บไซต์ (web site) หมายถึง ชุดของเอกสารที่เกี่ยวข้องกันในเวิลด์ไวด์เว็บหรือในระบบไฮเพอร์เท็กซ์(hypertext) ใดๆ ที่เอกสารเหล่านั้นมารวมอยู่ด้วยกัน และมีการนำเสนอในลักษณะไฮเพอร์เท็กซ์
 	3.	โฮมเพจ (home page) หมายถึง  หน้าแรกของเว็บไซต์ หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า
            หน้าต้อนรับ(welcome page)
 	4.	เว็บเพจ (web page) หมายถึง หน้าของเอกสารที่บรรจุอยู่ในเว็บไซต์ซึ่งแต่ละเว็บไซต์อาจจะมีเพียงหนึ่งหน้าหรือหลายหน้าก็ได้
 	5.	โปรแกรมค้นดูเว็บ (web browser) หรือเว็บเบราเซอร์ หมายถึง  โปรแกรมสำหรับดำเนินการบนคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตและจัดการเข้าถึงเวิลด์ไวด์เว็บ
 	6. เว็บมาสเตอร์ (web master) หมายถึง ผู้สร้างเว็บไซต์หรือผู้ดูแลและบริหารเว็บไซต์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เป็นแนวทางในการออกแบบและสร้างเว็บไซต์ของโรงเรียนที่จะเข้าร่วมในโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย อันจะเกิดประโยชน์ในการพัฒนาการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาของชาติต่อไป
 Top
           |