| 
                     
                    "ถ้าวันพรุ่งนี้ หรือวันต่อๆ ไป หากโลกนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ 
					เราจะนึกถึงอะไร...หรือนึกถึงใคร" 
                    จั่วหัวไว้แบบนี้ 
					ไม่ใช่ว่าผมอยากจะกลับไปใช้ชีวิตแบบย้อนยุคนะครับ 
					เพียงแต่เป็นหนึ่งในหลายๆ 
					ความประทับใจต่อบุคคลที่ผมพานพบและคิดว่าน่าจะเป็นสาระและมุมมองในอีกแง่หนึ่งบนกับโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีในวันนี้ 
					ก็เท่านั้นเองครับ ... 
                    บ่ายของวันหนึ่ง 
					หากดูตามปฏิทินก็คงจะย่างเข้าสู่วสันตฤดูแล้ว 
					แต่อุณหภูมิของโลกยังดูเหมือนจะไม่ไยดีกับวันเวลาของปฏิทินที่ถูกกำหนดขึ้นโดยมนุษย์ 
					เพื่ออาศัยกลไกของธรรมชาติในการดำรงอยู่ของชีวิตที่ไม่จีรัง 
                    ผมบึ่งรถไปตามถนนลาดยางจากอำเภอศีขรภูมิมุ่งหน้าสู่อำเภอสนม 
					จุดหมายปลายทางที่ห่างกันเพียง ๓๐ 
					ก.ม.ทิวทัศน์สองข้างทางที่เป็นท้องทุ่งเริ่มมีสีเขียวของหญ้าที่ระบัดใบ 
					หลังจากท้องฟ้าประพรมความชุ่มฉ่ำพอให้คลายร้อน 
                    ชาวนาบางส่วนที่ขยันทำมาหากิน 
					จับจอบเสียมที่วางไว้หลายเดือนมาปรับแต่งคันนาเตรียมกักเก็บน้ำเพื่อรอฝนใหญ่ที่จะมาถึงในวันข้างหน้า 
                    สองข้างทางที่ดูโปร่งตา เริ่มหนาทึบไปด้วยไม้ใหญ่ 
					เมื่อเข้าสู่เขตอำเภอสนม 
					ผมแวะซื้อยาเส้นจำนวนหนึ่งเพื่อนำไปฝากผู้ที่ผมกำลังจะไปพบ
 
 
                    
					ผ่านถนนคอนกรีตในตัวเมืองที่บ่งบอกถึงการทำงานของผู้มีส่วนรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี 
					ไม่ว่าจะไปที่ไหนในชนบท  
                    สังคมไทยเป็นอย่างนี้มานมนาน ... และอาจจะเป็นแบบนี้อีกนาน 
                    จากถนนคอนกรีตกลายเป็นถนนดิน 
					ผ่านป่าทึบที่เปรียบเสมือนแหล่งอาหารของชุมชน 
					รถจักรยานที่สวนมามีผักปังเต็มตะกร้า 
                    ในรัศมีไม่กี่มากน้อยเท่านั้นที่เห็น 
					และแหล่งอาหารนั้นกำลังหดหายไปตามวัฏฏะของโลก 
                     
                    ห่างจากหมู่บ้านไม่ไกลนัก ท่ามกลางท้องนาที่ว่างเปล่า 
					หากใครมาพบเห็นจะต้องสะดุดตากับความเขียวขจี บนพื้นที่ประมาณ ๙ 
					ไร่ ของลุงสุวรรณ กันภัย เกษตรกรผู้ทรหดที่ยึดแนวทาง "เศรษฐกิจพอเพียง" 
					ที่ยังคงเป็นตำนานที่มีชีวิตอยู่ 
                    แม้อากาศโดยทั่วไปในยามนี้จะร้อนปานใด 
					หากแต่ย่างเข้าไปในบริเวณ "ไร่นา-สวนผสม" 
					ของลุงสุวรรณแล้วเราจะรู้สึกถึงความแตกต่างแม้จะไม่มากนัก 
					แต่ก็สัมผัสได้  
                    ...เย็นกาย เย็นตา และเย็นใจ... 
                    ทางเดินขนาดสองคนเดินเคียงกันได้ จากปากทางเข้าสู่บ้านของลุง 
					ดูสะอาดตา ตลอดสองข้างทางดาษดาไปด้วยพรรณไม้หลากชนิด 
					ทั้งไม้ผลและผักสวนครัว 
                    ในส่วนที่จัดแบ่งไว้ทำนา ข้าวในนาสูงราวศอก ขณะที่ผ่านมานั้น 
					เกือบ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ยังไม่ทำอะไรกับผืนนา 
					คงเป็นเวลาเดียวกันกับข้าวในนาของลุงสุวรรณและครอบครัวตั้งท้อง 
					โดยที่ชาวนาส่วนใหญ่กำลังลงกล้ากัน 
                     ลานข้างๆ 
					กระท่อมหลังน้อยของลุงสุวรรณกลายเป็นห้องรับแขกกลางทุ่งไปโดยปริยาย 
					ป้าคำตันคู่ชีวิตของลุงกำลังนั่งห่อใบตองเพื่อทำขนมตาลกับหลานสาว 
                    "จำผมได่บ่ป้า" 
					ผมยกมือไหว้ทักทายพร้อมกับส่งของฝากที่มีชื่อเสียงของอำเภอศีขรภูมิ 
					..กาละแม"นี่ยาเส้นของลุง ลุงไปไสละ"
 
                    ป้าทักทายอย่างเป็นกันเอง 
					แม้ครั้งสุดท้ายที่มาเยือนจะผ่านไปเกือบปีแล้วก็ตาม"ผมว่าจะแวะมาขอมะกรูดป้าไปสระผมนะครับ" ครั้งที่แล้ว 
					ป้าเก็บมะกรูดถุงใหญ่ให้ผม เพื่อให้ผมเอาไป "สระผม" เพราะเห็น 
					"ผม" ของผม ดูอาวุโสเกินวัย
 
                    และนับแต่นั้นมาเกือบปีแล้วที่ผม "สระผม" ด้วยมะกรูด 
					อย่างต่อเนื่องมากระทั่งทุกวันนี้ แรกๆ ก็ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ 
					แต่ผมก็ลองใช้กระทั่งแน่ใจว่า มะกรูด ทำให้ "ผม" 
					ของผมดีขึ้นจริงๆ ที่แน่ๆ 
					ผมไม่เคยมีรังแคและไม่เคยคันศีรษะเลยตั้งแต่ใช้มะกรูดสระผม 
                    ใช้แบบสดๆ บีบน้ำใส่ "ผม" และเอาเปลือกถูให้ทั่วศีรษะ 
					หรือจะต้มทั้งลูกแล้วปั่นเก็บไว้ก็ได้ 
                    ไม่ใช่ว่าผมจะกลับไปสู่ยุคอดีตนะครับ 
					แต่ผมลองใช้แล้วไม่เสียหลาย 
					อีกทั้งบ้านผมเองก็มีต้นมะกรูดที่ออกผลทั้งปีหากที่เก็บมาหมดแล้ว 
					ผมก็จะไปเก็บ "ยาสระผม" มาใช้ 
                    ใช้แรกๆ ผมไม่ทราบว่ามันจะเป็นอย่างไรหรอกครับ 
					มีอยู่หนหนึ่งผมไปเยี่ยมเพื่อนพ้องน้องพี่ที่มูลนิธิพัฒนาอีสานพวกเขาถามผมว่า 
					"ไปย้อมผมมาเหรอ" ทำไมไม่หงอกแล้ว 
                    ผมก็อธิบายให้ฟังและอีกหลายคนที่ไม่เจอะหน้าค่าตาก็ทักแบบเดียวกัน 
					จนผมต้องกลับไปสำรวจดู "ศีรษะ" ตัวเองใหม่ 
                    เรื่องนี้ผมเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง หลายคนสนใจ 
					แม้กระทั่งเพื่อนที่เป็นนายแพทย์อยู่ที่สุรินทร์นี่ยังขอไปทดลองใช้เลย 
                     ลุงสุวรรณกับป้าคำตันนี่แหละที่แนะนำผม 
					และหากใครได้เห็น "ผม" ของทั้งสองท่านนี้ จะดำสนิทเลยครับ 
					ป้าเล่าให้ฟังว่าก็เก็บดอกอัญชันหน้ากระท่อมนั่นแหละมาใช้ด้วย 
                    ทักทายกันตามสมควร 
					ผมกับป้าเดินไปหาลุงสุวรรณที่มาผักผ่อนท้ายสวนกับหลานชาย 
					ป้าตะโกนเรียกจนลุงตื่น 
					พลอยให้หลานชายที่หลับอุตุตื่นขึ้นมาด้วย 
                    ผมยกมือไหว้ขอโทษขอโพยลุง เลยไปถึงหลานชายด้วย 
					ที่มารบกวนเวลาพักผ่อน 
                    "น่าอิจฉานะลุง" ผมกล่าวด้วยใจจริง 
					ลุงเชื้อเชิญให้ผมขึ้นมานั่งบนเถียงนาน้อยด้วยกัน 
                    ลุงเล่าให้ฟังว่า เพิ่งมีนักเรียนจากโรงเรียนวิวัฒน์พลเมือง 
					มาเยี่ยมเยียนดูงานเร็วๆ นี้เอง ตั้งหลายรุ่นแล้ว 
                    ... 
                    ลุงสุวรรณมีความรู้ทางการศึกษาในระบบแค่ป.๔ 
					และเคยผ่านงานกุลีในเหมืองแร่ที่ปักษ์ใต้กว่า ๖ ปี 
					ก่อนจะมาทำงานในโรงงานย่านสมุทรปราการและในเมืองหลวงอีกหลายปี 
					ในวัยหนุ่ม 
                    กระทั่งตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับป้าคำตันเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว 
					และนำคู่ชีวิตไปทำงานที่กรุงเทพฯ 
					ด้วยความมุงานและเป็นคนจริงของลุงสุวรรณทำให้เป็นที่ชื่นชอบของนายจ้าง 
					ทำให้ลุงทำงานหนักขึ้นไปอีก เพื่อส่งเงินมายังบ้าน 
                    สุดท้ายก็รู้ตัวว่าสุขภาพย่ำแย่ 
					จึงตัดสินใจลาออกเพื่อมุ่งหน้าสู่อาชีพของบรรพบุรุษ 
					กับทุนรอนไม่กี่พันบาทผนวกกับที่นาที่พ่อตายกให้ส่วนหนึ่ง 
                    แรกๆ ลุงก็ทำนาเหมือนกับชาวนาทั่วๆ ไป ทำไปทำมาก็มีแต่หนี้สิน 
					เลยเปลี่ยนวิถีใหม่หันมาทำแบบผสมผสานแต่ไม่มีทฤษฎี เรียกว่า 
					"ทำหา" ว่างั้นเถอะ 
                    เป็นใครก็ต้องอ้าปากค้างหรือหาว่าลุงเสียสติ เมื่อรู้ว่าสระน้ำ 
					บ่อน้ำ ที่ในผืนนาทั้งหมดนั้น 
					ลุงขุดด้วยมือของลุงเองทั้งสิ้นด้วยหวังจะใช้นำในบ่อเพื่อรดพืช 
					ผักที่ปลูกไว้ 
                     
                    ในไร่นา-สวนผสมของลุงสุวรรณ แบ่งเป็นเนื้อที่ปลูกข้าว ๒ ไร่ 
					มีสระน้ำขนาดใหญ่ ๓-๔ บ่อ มีต้นมะนาวที่ให้ผลผลิตทั้งปีกว่า 
					๑๐๐ ต้น ชมพู่กว่า ๑๐๐ ต้น พืช ผักสวนครัว อาทิ หอม ยี่หร่า 
					สาระแหน่ กะเพรา โหระพา ฯลฯ สารพัดชนิดรวมถึงปลาในสระ 
					ทั้งหมดนี้กินได้ไม่รู้จบ 
                    ผมประทับประโยคหนึ่งที่ลุงตอบคำถามว่า"ลุงใช้อะไรเลี้ยงปลาในสระ" ลุงตอบว่า
 "ลุงไม่ได้เลี้ยงปลา ปลาเลี้ยงลุง"
 
                     บ่อปลา ในแบบ "เศรษฐกิจพอเพียง"
 
                    จากนาเชิงเดี่ยวในปี ๒๕๑๖ อีก และกว่า ๕ ปีที่มุ "ทำหา" 
					(ทำไปเรื่อยเปื่อย) กระทั่งทุกวันนี้ 
					สิ่งที่ลุงสุวรรณกับป้าคำตัน "ทำหา" 
					นั้นกลับกลายเป็นทรัพย์สินที่เก็บกินไม่รู้หมด ลูกหญิง-ชาย 
					ที่ไปทำงานในเมืองหลวงก่อนก็ถูกเรียกกลับมาช่วย "ทำหา" 
					ลุงสุวรรณสร้างบ้านหลังงามให้ลูกบนผืนนานั้นเอง 
                    ทุกว้นนี้ 
					นอกจากจะทำในสิ่งที่ลุงรักแล้วและอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังน้อยที่ปราศจากเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด 
					ซึ่งในครัวป้าคำตันยังคงใช้ฟืนที่เก็บจากไร่นานั่นเองในการหุงหาอาหาร
                     
                    แม้จะมีความรู้แค่ ป.๔ ลุงสุวรรณ 
					แต่ลุงยังทำหน้าที่เป็นวิทยากรในด้านการทำเกษตรแบบพอเพียง 
					ให้กับหน่วยงานราชการ, 
					เกษตรกรทั้งไทยและต่างประเทศรวมถึงผู้ที่สนใจในอาชีพนี้อีกด้วย 
                     ด้วยการศึกษาเพียง 
					ป.๔ 
					ลุงสุวรรณยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายกระทั่งประสบผลสำเร็จในชีวิตทำให้ผมทึ่งและน้อมรับ 
					ยอมรับในความสามารถ หากเทียบกับคนที่มีการศึกษาสูงแล้ว 
                    (ถ้าหากเอาปริญญาเป็นตัวตั้ง--รวมทั้งผมด้วย) 
                    ลุงสุวรรณสมควรที่จะได้รับการยกย่องให้เป็นครูของแผ่นดิน 
                    แน่นอนที่สุด ใบประกาศเกียรติคุณและเกียรติยศที่คนจบป.๔ 
					อย่างลุงสุวรรณได้รับทั้งในระดับท้องถิ่นและในระดับประเทศย่อมแสดงให้เห็นว่าคุณค่าของคนนั้น 
					ไม่ได้อยู่ที่การศึกษาเสมอไป 
                    ลุงสุวรรณ ป้าคำตัน สระน้ำและต้นไม้ในสวนของลุงสอนผมหลายๆ 
					อย่าง รวมทั้งหลักธรรมในการดำเนินชีวิต 
					การพึ่งพาอาศัยกันของสิ่งมีชีวิต 
					ที่อยู่กันอย่างสมดุลและเอื้อต่อกัน 
                    เกียรติ ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญ 
					ทั้งหลายเป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้น 
                    ยกมือไว้ร่ำราพร้อมกับมะกรูดถุงใหญ่
                     
                    ขากลับผมแวะซื้อลูกปลานิล เอาไปปล่อยในสระที่บ้านสวนศีขรภูมิ 
                    ... 
                    ผมนึกถึงเรื่องลุงสุวรรณ 
					ขณะดูทีวีเห็นข่าวรถไฟใต้ดินในประเทศไทยจะเปิดใช้ในช่วงต้นปีหน้านึกถึงความเจริญของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้ผมได้ไปเห็นแค่เสี้ยว
 นึกถึงตอนตัวเองนั่งรถไฟฟ้าลอดใต้อุโมงค์ใต้น้ำจาก Oak Land ไป 
					ซานฟรานซิสโก
 ... นึกถึงหลายอย่างที่พานพบ
 
                     
 
                    ผมตั้งคำถามเล่นๆ ให้กับตัวเอง 
                    "นับแต่พรุ่งนี้ ถ้าโลกไม่มีไฟฟ้า -- 
					ใครจะอยู่ได้โดยไม่เดือนร้อนเลย" 
					 |