| ปัจจุบัน
                      "หมอก้อง"
                      เพื่อนผมคนนี้ที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่มัธยมต้นจนจบมัธยมปลายด้วยกัน
                      กำลังศึกษาต่อระดับปริญญาเอกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
                      และได้กลับมาเมืองไทยในระยะสั้นๆ
 
                       "ไม่ได้กลับมามือเปล่า
                      แต่เอาบุญมาฝาก" 
                      มาครั้งนี้ก็ได้รวบรวม เพื่อนสนิทหลายคนทำกิจกรรมเพื่อพุทธศาสนา
                      โดยจัดพิธีหล่อพระ
 เป็นเหรียญรูปของพระครูธรรมรังษี
                      เจ้าอาวาสวัดเขาพนมดินเพื่อหา
 รายได้สมทบค่าก่อสร้างพระมหาเจดีย์
   จะเป็นเรื่องบังเอิญหรืออย่างไรมิทราบ
                      เพื่อนที่ทำงานอยู่กรุงเทพก็ได้กลับมาบ้านพอดีในช่วงนี้ เช้าตรู่ของวันดังกล่าวฝนยังคงตกพรำๆ
                      ซึ่งก็ตกมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
                      "กบ" เพื่อนซี้ตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กเรียนด้วยกันตั้งแต่อายุ
                      ๓ ขวบ
                      จนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง 
                      แวะมารับผมกับภรรยา
 ที่บ้านพัก
                      โดยมาพร้อมกับภรรยาซึ่งก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมของผมเอง
                      และภรรยาของผมกับกบก็เป็น
 เพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของผมเอง
 ปัจจุบันกบเปิดสำนักงานทนายความของตัวเองที่กรุงเทพฯ
                      ตามความฝันใฝ่จนสำเร็จ ... ฝนที่ตกมาตั้งแต่เมื่อคืนส่งผลให้น้ำท่วมในตัวเมืองสุรินทร์ในวันนั้น
                      ระยะทางจากตัวเมืองไปอำเภอท่าตูมประมาณ ๕๐ ก.ม.
 และฝนยังคงตกอยู่ตลอดเส้นทาง ไปถึงวัดราวๆ
                      ๘ นาฬิกา
                      พระได้ฉันภัตตาหารเช้าเสร็จพอดี
                      เพื่อนๆ
                      ฝ่ายที่เตรียมสำรับกับข้าวมาก็ต้องเปลี่ยนเป็นถวายเพลแทน
 กำหนดการเททองหล่อพระนั้นเป็นช่วงเช้า
                      ซึ่งเป็นการหล่อแบบโบราณ
                      แต่เนื่องจากฝนฟ้าไม่เป็นใจในตอนนี้
                      อีกทั้งการหลอมโลหะที่จะใช้หล่อยังไม่สุกได้ที่
                      กำหนดการก็เลยเปลี่ยนเป็นช่วงบ่ายแทน
 โดยหลวงพ่อก็ได้เอ่ยปากกับญาติโยมแล้วว่า
                      หล่อตอนเช้าคงไม่ได้เพราะอุปสรรคหลายอย่าง
                      ช่วงบ่ายน่าจะเป็นฤกษ์ที่เหมาะสม
 พวกเราก็เลยอยู่ต่อกินข้าววัดตอนเที่ยง
                      ... ฝนยังคงตกพรำๆ  เมื่อได้ฤกษ์งามยามดี
                      ... (เรื่องนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ) 
                       ฝนที่ตกพรำๆ
                      ในช่วงเช้าขาดเม็ดไม่เหลือเค้า ท้องฟ้าที่ครึ้มมาเปิดโล่งแสงอาทิตย์สาดส่องมายัง
 บริเวณที่ทำพิธี
 ช่วงนั้น
                      "บักโป๋ย"
                      เพื่อนอีกคนที่กำลังเดินทางมาจากกรุงเทพฯ
                      ก็โทรมาพอดี
                      บอกว่าถึงสุรินทร์แล้ว
 แต่คงไม่ได้แวะมาร่วมพิธี
                      คงจะเลยไปบ้านที่ อ.รัตนบุรี
 
 ผมก็ถามว่าที่ตัวเมืองสุรินทร์เป็นอย่างไรบ้าง
                      ...
                      น้ำยังคงท่วมอยู่และท้องฟ้ายังมืดครึ้มมันกำลังหาทางหนีน้ำอยู่
 ...
                      พวกเราก็ได้แต่คิดว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติและความบังเอิญที่ประจวบเหมาะมากกว่า 
                       พิธีเททองเป็นไปตามฤกษ์
                      และไม่มีอุปสรรคใดๆ
                      ในช่วงที่เททอง เบ้าแรกนั้น
                      ภรรยาผมถอดตุ้มหูทองร่วมหล่อด้วย
 เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพิธีเททองหล่อพระแบบโบราณ
                      ซึ่งปกติไม่ค่อยได้ทำกันบ่อยนัก
                      เพราะขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร
   ช่างที่มาทำงานบอกว่าถ้าไม่ใช่หมอก้องก็คงไม่รับงานนี้
                      ทั้งนี้เนื่องจากทำงานกับหมอและคุณแม่ของหมอมาหลายหนแล้ว
                      ก็เลยรับงานนี้
                      ซึ่งช่างเหล่านี้ต้องขนวัสดุ-อุปกรณ์มาจากกรุงเทพฯ
                      เลยทีเดียว
 
                       หลังจากเททองหล่อในเบ้าแรกแรก
                      เบ้าต่อๆ
                      ไปก็เป็นโลหะผสมเนื้อ สีทอง เช่น
                      พวกทองเหลือง
 เคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับการหล่อพระในนิตยสาร
                      บางครั้งเขาใช้ปลอกกระสุนปืนที่เป็นทองเหลือง
                      เพื่อใช้ในการหล่อพระทั้งองค์ใหญ่
                      องค์เล็ก
 ผมเขียนบันทึกจากอ่านครั้งนั้นไว้ว่า
                      "ข้างในใช้สังหาร
                      แต่ข้างนอกใช้ทำให้คนบูชา"   
                        
                        
                          
                            | 
                             | 
                             |  
                            | 
                            
                            หมอก้องกับหมอเรวัตร โชว์เหรียญที่เพิ่งออกจากเบ้าหลอม(เพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัย ม.๑-ม.๖)
 |  ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีไม่มีอุปสรรค
                      พวกเรารอจนกระทั่งช่างได้ทุบเบ้าหลอมแรกให้ดู
                      ปรากฏว่าสมบูรณ์อย่างไม่มีที่ติ
 ...
                      ทางคณะได้นำถวายหลวงปู่ทั้งชุด พิธีเสร็จสิ้นประมาณบ่าย
                      ๓ โมง
                      พวกเราก็แยกย้ายกับกลับ
                      โดยมีนัดกินข้าวเย็นกันในตัวเมืองสุรินทร์
 ผมกับกบ
                      (สวมเสื้อคอกลมสีขาวในภาพ)
                      แยกตัวไปบ้านเพื่อนอีกคนที่ทำงานเป็นพยาบาลในอ.ท่าตูม
                      ซึ่งบักโป๋ยที่ไปถึงรัตนบุรีแล้วก็จะแวะมาหาผมกับกบที่ท่าตูมและตามไปสมทบในเมืองทีหลัง
 ผม,กบ และบักโป๋ย ...
                      ใช้ชีวิตร่วมกันในกรุงเทพตั้งแต่ปี
                      ๒๕๓๐
                      ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
                      ผมกับกบรับปริญญาตรีพร้อมกัน
                      และผมมารับปริญญา (ใบที่
                      ๓)
                      อีกครั้งพร้อมบักโป๋ยที่เรียน
                      ๘ ปีเต็มกำหนด
 
                       ขออนุญาตเท้าความกลับสู่อดีตนะครับ
                      ผม กับบักโป๋ยเคยมีฝันร่วมกันคล้ายๆ
                      กันในเรื่อง
 งานเขียน
                      มันฝันใฝ่อยากจะเป็นผู้กำกับหนัง
 อยากเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์
                      ทำนองนี้
 ส่วนผมจะออกไปทางสิ่งพิมพ์มากกว่า
                      แต่ก็เป็นงานที่ไปด้วยกันได้
 แต่เราทั้งสองไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนในศาสตร์แขนงนี้เลยในตอนนั้น
 ตอนอยู่ที่รามคำแหง
                      ผมหารายได้พิเศษด้วยการถ่ายภาพและขีดๆ
                      เขียนๆ
                      บ้างส่งไปตามนิตยสาร
                      ส่วนบักโป๋ยพี่แกเล่นเขียนเรื่องสั้นแนวสนุกสนาน
                      เคยได้ลงในขายหัวเราะบ้าง
                      เคยได้เงินมา ๕๐๐ บาท
                      หลังจาก
 นั้นเขาก็เพิ่มค่าเรื่องเป็น
                      ๑,๕๐๐ บาท ... 
                      มันบ่นว่ากูน่าจะรออีกสักพักค่อยส่ง
 บักโป๋ยเขียนเรื่องยาวในชีวิตครั้งแรกเมื่อจบ
                      ม.๖
                      และมันให้ผมนี่แหละอ่านต้นฉบับเป็นคนแรก
                      โดยเรื่องนั้นเป็นเรื่องราวของพวกเราเอง
                      และก็ส่งผลให้บักโป๋ยคั่วอันดับผู้กำกับภาพยนตร์ในอนาคตอันใกล้นี้
 ช่วงที่เรียนปี
                      ๔
                      ผมกับมันถืองานของแต่ละคน
                      เดินไปสมัครตามนิตยสาร
                      โดยมีแนวคิดว่า "ผมถ่ายภาพมันเขียนเรื่อง"
                      ...
                      ไม่มีใครรับเราสักเจ้า
 และบักโป๋ยก็ถือต้นฉบับที่มันเขียนไว้ตั้งแต่ปี
                      ๓๐
                      นั่นแหละเป็นใบเบิกทางสู่วงการภาพยนตร์กระทั่งมีชื่อเสียงในวงการ
                      และล่าสุดมันขายพล็อตหนังให้กับบริษัทรับทำภาพยนตร์แห่งหนึ่ง
                      ได้เงินมาจำนวนไม่น้อย
 ลืมบอกไปว่า
                      บักโป๋ยจบสาขารัฐศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวกับวงการบันเทิงเลย
                      เคยทำงานกับบริษัทอาร์เอสฟิล์มบริษัทฟิล์มบางกอก ...
                      เขียนบทภาพยนตร์มาก็หลายเรื่อง
                      ส่วนใหญ่ได้กล่อง
                      เช่น ฝันติดไฟหัวใจติดดิน
                      ..
 โคลนนิ่งคน ...
 ปัจจุบันทำงานเป็นผู้รับเขียนภาพยนตร์อิสระ แต่เชื่อไหมครับว่าผมไม่เคยดูหนังที่มันเขียนเลย
                      ... ฟังมันเล่าสนุกกว่า หลังจากเรียนจบผมกับมันเคยคิดว่าจะไปอยู่เชียงใหม่สัก
                      ๓ 
                      เดือนเพื่อทำงานเขียนแบบที่เราชอบ
                      แต่ยังไม่มีโอกาสสักที ...
 "ฝันให้ไกล
                      ไปให้ถึง"
                      เป็นข้อความในโปสการ์ดที่บักโป๋ยเคยส่งให้ผมเมื่อหลายปีก่อน
                      แม้จะเป็นคำพูดที่เชยๆ
                      แต่เป็นแรงดลใจมหาศาลสำหรับคนมีความฝันและใฝ่
 แต่ให้ให้ฝันและใฝ่ในทางดี กบ
                      ได้เปิดสำนักงานทนายความของตัวเองตามความฝัน โป๋ย
                      กำลังจะก้าวไปเป็นผู้กำกับหนังตามที่ปรารถนา เพื่อนๆ
                      หลายคนประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างที่ตนเองปรารถนา
                      ... หลายคนกำลังแสวงหา ผม
                      ได้กลับมาอยู่บ้านเกิด
                      ทำงานตามความฝันของตัวเอง ...
                      บ้านเกิด ...
                      เพื่อนเก่า ...
                      กับความฝันที่เป็นจริง ฝันให้ไกลไปให้ถึงครับ |