๑๘ พ.ค.๒๕๓๕ 

ความขัดแย้ง...มีมาทุกยุคทุกสมัย  บางครั้งความขัดแย้งอาจนำไปสู่แนวทางแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ในทางตรงกันข้าม หากความขัดแย้งนั้นนำไปสู่ความรุนแรงและลงท้ายด้วยหายนะ ซึ่งไม่มีใครอยากจะให้มันเกิด แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว ... สิ่งเหล่านี้ควรจะนำมาเป็นบทเรียนเพื่อทบทวนถึงแนวทางการแก้ไขหรือไม่ หรือจะปล่อยให้มันเกิดซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากจะเขียนบทความนี้เท่าใดนัก แต่หากปล่อยเอาไว้ โดยไม่แสดงความเห็นของสิ่งที่เกิดขึ้นและถูกจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์โดยที่ข้าพเจ้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ก็ดูเหมือนว่าข้าพเจ้าละเลยต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมา... ถึงวันนี้ ๑๒ ปีแล้ว

วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ที่ท้องสนามหลวง ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ไปร่วมแสดงประชามติเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับเขาด้วยเหมือนกัน ช่วงนั้นเพิ่งจะเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ 

การเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ไม่เพียงแต่จะให้ความรู้ด้านวิชาการแก่ข้าพเจ้าเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเบ้าหลอมความคิดทางการเมืองอย่างดียิ่งของผู้ที่แสวงหา ... วิชานอกตำราที่หาทีใดเสมอเท่าได้ยากยิ่ง

เย็นวันนั้น ผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสน แห่แหนกันมาที่ท้องสนามหลวง เพื่อแสดงพลัง เพื่อสังเกตการณ์ เพื่ออะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่าง หลังประเทศไทยเกิดวงจรอุบาทว์ทางการเมือง

ข้าพเจ้านั่งฟังกระทั่งค่ำ และต้องรีบกลับที่พักที่ถนนสุขาภิบาล ๓ บางกะปิ ก็ไกลโขอยู่ เพราะวันที่ ๑๘ พ.ค.ต้องไปสอบเป็นครู กทม. ระหว่างที่นั่งรถเมล์กลับนั้น บริเวณถนนราชดำเนินนอกมีกองกำลังทหาร ตำรวจจำนวนหนึ่งอยู่บริเวณนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงอะไรมากมายนัก

กระทั่งถึงที่พักเกือบๆ ๓ ทุ่ม ก็รีบเปิดทีวี เพื่อดูรายงานข่าว ปรากฏว่าเกิดการปะทะกัน และเหตุการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นึกภาวนาในใจว่าให้เหตุการณ์สงบลงด้วยดีเถิด เพราะเหตุการณ์ ๖ และ ๑๔ ตุลาคม ที่ข้าพเจ้าดูนิทรรศการอยู่ทุกๆ ใน ม.รามคำแหงนั้น มันรุนแรงเกินกว่าที่จะใจจะยอมรับได้ และไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก

ข้าพเจ้าต้องรีบเข้านอน เพราะต้องไปสอบพรุ่งนี้เช้า

ไม่วายที่จะเอากล้องถ่ายภาพไปด้วย ... ตอนเข้าข้าพเจ้านั่งรถเมล์ไปที่ทำการ กทม.แถวๆ ดินแดง โดยที่ไม่รู้ว่า ได้มีการประกาศวันหยุดฉุกเฉินเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อคืน

ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยตัดสินใจไปท้องสนามหลวง ไปดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เดินไปนะครับ เพราะรถเมล์ไม่วิ่งไปทางนั้น ถึงบริเวณบริษัทการบินไทย มีทหารส่วนหนึ่งปิดกั้นไม่ให้ใครเข้าออก ก็มีการต่อรองกันจนกระทั่งมีผู้พบทางลัดที่จะไปท้องสนามหลวง ข้าพเจ้าก็เลยวิ่งไปกับพวกเขาด้วย

ที่ถนนราชดำเนินผู้คนเรือนหมื่นนั่งกันเต็มท้องถนน ใกล้ๆ กับสะพานผ่านฟ้า มีรถตู้ที่พลตรีจำลอง ศรีเมืองและขึ้นไปปราศรัยจอดอยู่ตรงนั้น และอีกฝั่งหนึ่งมีรั้วลวดหนามขึ้นเป็นแนวยาวตลอดแนวสะพาน

คนไทย ประเทศไทย ... กรุงเทพฯ ... เหมือนกับคนละแผ่นดิน

บางคนพยายามเดินข้ามท่อประปาเพื่อข้ามมาอีกฝั่ง ข้าพเจ้าสับสน มึนงง ตกใจ และหวั่นใจอยู่พอสมควร พยายามเดินสังเกตการณ์ไปทั่วบริเวณ  แต่ยังไม่กล้าถ่ายภาพในช่วงนั้น ... ไม่รู้เพราะอะไร

จนมาเจอกันเพื่อนที่เรียนโสตทัศนศึกษาที่รามคำแหงด้วยกัน สะพายกล้องมาด้วย ข้าพเจ้าเลยอุ่นใจมีเพื่อนคุยเพื่อนคิดแล้ว

เรานั่งฟังปราศรัยอยู่บริเวณหน้าปราสาทโลหะ พร้อมกันนั้นก็มีการเปิดวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์เพื่อฟังรายงานเหตุการณ์ด้วย และมีรายงานที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินจากกรมประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนทั่วประเทศว่า ขณะนี้ พลตรีจำลอง  ศรีเมือง ได้หลบหนีออกไปแล้ว ... 

แล้วคนที่ยืนปราศรัยอยู่เบื้องหน้าข้าฯ และประชาชนนับหมื่นนั้น เป็นใครกันหนอ... ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับพลตรีจำลอง ราวคนๆ เดียวกัน ... 

เกือบๆ บ่าย ๓ โมง รู้สึกปวดปัสสาวะ ก็เลยชวนกันไปห้องน้ำที่วัดราชนัดดา ... เสร็จภารกิจ ขณะที่กำลังจะรูดปิดซิบกางเกงอยู่นั้น 

เสียงปืนดังสนั่น ถี่ยิบ เสียงตะโกนอลหม่านไปทั่ว ผมกับเพื่อนวิ่งออกมาเพื่อจะดูเหตุการณ์ภายนอก แต่กลับถูกฝูงชนวิ่งหนีตายเข้ามาในวัด พร้อมกับตะโกนบอกให้พวกเรารีบหนี ไม่พูดพล่ามทำเพลง ผมกับเพื่อนหันหลังวิ่งขึ้นไปบนกุฏิชั้นสองเลยครับ มีพระสงฆ์รูปหนึ่งชี้ทางหนีให้ คือให้รีบออกไปนอกวัด

กระโดดลงทางหน้าจากชั้น ๒ วิ่งไปหลังวัด... โอ้ กำแพงปูนสูงกว่า ๒ เมตร แถมมีลวดหนามสูง ๑ เมตรอยู่ด้านบน 

ไม่มีใครสนใจ ผมยังสงสัยเลยว่าข้ามรั้วนั้นมาได้อย่างไร โชคดีไม่เป็นอะไรมาก แค่โดนลวดเกี่ยวเสื้อแหว่งไปหน่อย

หนีออกไปได้ทางหลังวัด เดินย้อนกลับมาด้านหน้าอีกรอบ คราวนี้เจอทหารพร้อมอาวุธครบมือ ข้าพเจ้าเห็นผู้สื่อข่าวหลายๆ คนสะพายกล้องและบอกกับทหารว่ามาทำข่าวพร้อมกับหยิบบัตรประจำตัวให้ดู ก็สามารถที่จะเดินไปไหนมาไหนก็ได้ 

มองหน้าเพื่อนแล้วพยักหน้า เป็นอันว่ารู้กัน ข้าพเจ้ากับเพื่อนยกกล้องให้ทหารดูเหมือนกัน เชิงว่าเป็นนักข่าวแล้วอาศัยจังหวะเดินตามนักข่าวกลุ่มนั้นไป ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ

๒ ภาพข้างบนได้มาบริเวณป้อมพระกาฬ ข้าพเจ้ากับเพื่อนและผู้สื่อข่าวกลุ่มหนึ่งได้ภาพมุมนี้มา ทหารพร้อมอาวุธสงครามครบครันกับประชาชนมือเปล่าที่ร่ำร้องประชาธิปไตย

เคยเห็นภาพในลักษณะนี้ในนิทรรศการ ๖ และ ๑๔ ตุลาคม ... ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีให้เห็นอีก

เหตุการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเย็นผู้ชุมนุมก็ได้มารวมตัวกันอีกครั้งบริเวณกรมประชาสัมพันธ์ ข้าพเจ้ากับเพื่อนอยู่ในภาวะที่ต้องร่วม ... เพราะเห็นสิ่งไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เกิด ...

ตอนนี้พลตรีจำลอง  ศรีเมืองและแกนนำบางส่วนถูกจับตัวไปแล้ว ... อ้าว ไหนกรมประชาสัมพันธ์เพิ่งประกาศไปว่า ท่านหนีไปแล้วไง ... !!!

Next



คำ "ติ-ชม" ของท่านมีค่ามหาศาลต่อการพัฒนาเว็บไซต์ครับ
created by.กระดานดำออนไลน์
775/11 Sukhapibarn 4 Rd. Tambol.Ra-ngang
Sikhoraphum District, Surin Province.Thailand 32110

email : jakrapog@hotmail.com
๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๔ (ปรับปรุง ๑๖ พ.ค.๒๕๔๗)