| 
                       
                      ๕ พฤษคาคม ๒๕๔๙ 
                      วันนี้ถือว่าเป็นวันดีของคนไทยคือนอกจากจะเป็นวันฉัตรมงคลแล้ว 
						ยังเป็นวันพระอีกด้วย ที่สำคัญคือเป็นวันหยุดปีนี้ได้ตั้งใจไว้ว่าจะพยายามไปไหว้พระทำบุญในวันพระให้ได้มากที่สุด 
						ถึงแม้ว่าวันพระบางวันจะไม่ตรงกับวันหยุดขอให้ได้ไปทำบุญใส่บาตร 
						แต่ถ้าวันพระไหนตรงกับวันหยุดก็จะอยู่ฟังธรรมเทศนา 
                      ทั้งนี้ 
						ไม่ใช่เพื่อทำสถิติอะไรไปอวดอ้างชาวโลกหรอกนะครับ 
						แต่เพื่อฝึกตนให้รู้จัก ลด ละ เลิก และตัดกิเลส เสียบ้าง 
						ให้สมกับเป็นพุทธมามกะ ตามทะเบียนบ้านเสียบ้าง 
						เมื่อครั้งอยู่กรุงเทพฯ เคยเป็นเด็กกรุงเทพฯ อยู่ ๑๒ ปี
						เคยพักร่วมห้องกับเพื่อนนิสิตฯ ที่เป็นมุสลิมอยู่ ๒ ปี 
						ทุกวันศุกร์ เพื่อนผมคนนี้จะต้องไปทำพิธีละหมาดไม่เคยขาด
						และในเดือนทีถือศีลอด พวกเราก็จะได้กลิ่นอาหารก่อนพระอาิทิตย์ขึ้น 
						บางหนเพื่อนของเพื่อนที่เป็นมุสลิมมาค้างที่ห้อง ตอนเช้าเราก็จะเห็นเพื่อนๆ 
						ลุกขึ้นมาทำละหมาด  
						 
						เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็มีคริสตัุงและคริสเตียน 
						ทุกวันอาทิตย์ 
						เพื่อนของผมก็จะไปทำพิธีทางศาสนาที่โบสถ์เป็นประจำ 
						ผมมีเพื่่อนเป็นพุทธศาสนิกชนมากที่สุด 
						ผมไม่ค่อยเห็นเพื่อนๆ 
						ผมไปวัดทำบุญกันในวันพระเท่าไหร่นักเมื่อก่อนตอนผมเด็กๆ จะมีเพลงหนึ่งที่เปิดทุกวันพระ 
						มีเนื้อเรื่องที่ยังจำท่อนนี้ได้มาจนบัดนี้
 
                      
						"วันพระชาวพุทธควรหยุดเหล้า 
						หยุดมึนเมาวันพระสร้างบุญเถิดหนา" 
						เดี๋ยวนี้ วันพระก็วันพระเถอะ 
						พุทธศาสนิกชนถือว่าเป็นเรื่องของพระ 
						เราจึงได้เห็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ทั้งหญิงชายนั่งกันเต็มร้านเหล้า 
						เร็วๆ นี้ มีงานวิจัยของหน่วยงานหนึ่งบอกว่าสังคมไทยมีทุึกข์มาก 
						... ก็น่าอยู่หรอก 
						เวลาผมไปวัดในวันพระีทีไร 
						มันจะได้ความรู้สึกแบบหนึ่งที่ข้างนอกวัดไม่ค่อยมีคือ 
						ความรู้สึกอิ่มใจ ปิติเพราะผมเชื่อว่า คนที่ไปวัดนั้น คือการไปทำบุญ 
						และทุกคนก็จะมีแต่จิตใจที่อิ่มบุญ
						คือไปให้ ฝึกการให้
 ฝึกการแผ่เมตตา และตัดกิเลสของตน ได้รับฟัีงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
 
						อย่างน้อย ๑ วันใน ๑ สัปดาห์ ก็ยังดี 
						และผมก็สังเกตว่า คนรุ่นใหม่เข้าวัดน้อยมาก 
						เพื่อให้สมกับยุคโลกาภิวัตน์หรือเปล่าผมไม่ทราบคนรุ่นใหม่ชอบอ้างยุคโลกาภิวัตน์ 
						ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว...ยังต้องไปวัดอีกหรือ
 
						ยังต้องไปครับ ต้องไปกันทุกคนแน่ 
						แต่จะไปแบบมีคนหามไปหรือว่าไปแบบปิติ ก็สุดแท้แต่ 
						สังคมไทยปัจจุบัน กำลังอยู่ตกอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง 
						สัปดาห์หน้าประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานวันวิสาขโลก และรัฐเองก็ภูมิใจหนักหนาว่าเมื่องไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลก
 
						แต่ในสภาพการณ์แล้ว เป็นได้แค่ชื่อหรือเปลือกนอกเท่านั้นเราคนไทยได้ช่วยกันให้สมกับเป็นเมืองพุทธศาสนาแห่งโลกแล้วหรือ 
						ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่ทำตัวเป็นตัวอย่าง ยังมาทะเลาะเบาะแว้ง 
						แสวงหาอำนาจที่่ไม่สามารถติดตัวไปได้ตลอด 
						น่าคิดนะครับ ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่เอาธรรมะมาปฏิบัติเสียบ้าง 
						ไม่สักแต่ว่าพูดแต่ปาก ให้เข้าทำนองมือถือสาก ปากถือศีล บ้านเมืองเราก็จงจะไปได้ดีกว่านี้
 
						เพราะผมเองเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพพร้อมมากไม่แพ้ประเทศใดในโลก 
						
						เรื่องของการสร้างความเจริญทางด้านจิตใจ 
						เดี๋ยวนี้คนไ่ทยเรามองข้ามไปมากเหลือเิกิน เพราะุมุ่งเน้นสร้างวัตถุ อวดแข่งกันมากเกินไป 
						คุณภาพทางด้านจิตใจและศีลธรรมของคนไทยจึงเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด คงไม่ต้องยกตัวอย่างให้เห็นนะครับ 
						
						เคยมีข้อเสนอจากกลุ่มคนที่มองเห็นความสำคัญของวันพระว่า 
						หากเป็นไปได้ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหรือในองค์กรต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง
 
						แต่ก็เปล่าเลย 
						เอาให้แคบก็ได้ 
						ผมมีความเห็นเหมือนกับหลายๆ คนที่เป็นห่วงศีลธรรมของคนในชาติ 
						คือว่า ทุกวันพระถ้าหน่วยงาน องค์กร และโดยเฉพาะุสถานศึกษา 
						ถ้าผู้บริหารเห็นความสำุคัญของการพัฒนาจิตใจของเยาวชน 
						แนวคิดก็คือ 
						 
						
						ถ้าวันพระใดตรงกับวันทำงาน 
						ก็ให้นักเรียน นักศึกษา หรือพนักงาน 
						เจ้าหน้าได้ไปทำบุญที่วัด ก่อนจะมาทำงานหรือเข้าเรียนก็ได้ โดยไปทำที่วัดที่ใกล้ที่สุด
						
						
						 
						จากการปฏิบัติของผมและหลายๆ 
						คนที่ผมเห็น ถ้าวันพระ เราก็จะตื่นเช้ากว่าปกติ 
						ตระเตรียมสำรับกับข้าวให้เรียบร้อยและไปถึงวัดก่อน ๗.๓๐ น. ใช้เวลาทำบุญใส่บาตร 
						ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ไปทำงาน
 
						
						และตั้งจิตอธิษฐานว่าทั้งวันพระนี้จะพยายามทำตัวเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี 
						และถ้าเป็นไปได้ ก็พยายามทำให้ได้ทุกวัน 
						
						
						อย่างน้อยในหนึ่งวันของสัปดาห์ก็ทำให้จิตก็คิดดีทั้งวัน 
						ถ้าหากหน่วยงานติดขัดจริงๆ 
						ไม่สามารถอนุโลมได้ เพราะกลัวเสียเวลาทำมาหากิน ไปเร่งสร้างอย่างอื่นก่อน 
						เรื่องคุณธรรม จิตใจเอาไว้ทีหลัง 
						เพราะยุคนี้มันเป็นยุคของการแข่งขัน 
						มัวแต่คิดเรื่องธรรมะ 
						เสียเวลาทำมาหากินหมด แล้วจะไปทันโลกได้อย่างไร 
						 
						ผู้นำหรือผู้บริหารบางคน 
						มัวแต่หลงติดกับเงาของตัวเอง 
						ในขณะที่มีโอกาสสร้างความดีกลับไม่ทำ 
						มิหนำซ้ำสิ่งที่ทำไว้กลับมีแต่ซากเดนแห่งความอัปยศ 
						ไม่มีคุณงามความดีหลงเหลือให้คนรุ่นหลังได้กล่าวชมเลย 
						ก็มีให้เห็น 
						
						นั่นก็สุดแท้แต่ความคิดของผู้บริหารนะครับ 
						
						แต่ถ้าหากคิดจะทำกันจริงๆ 
						ไม่ต้องเอาทุกวันพระก็ได้ เอาอย่างน้อย เดือนละครั้งก็ได้ 
						และถ้าไปวัดไม่ได้จริง แต่อยากจะทำ ก็มีทางออกคือ 
						
						นิมนต์พระมารับบิณฑบาตและเทศนาให้ฟังในสถานที่หรือหน่วยงาน 
						ก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายแต่ประการใด 
						
						เมื่อมีโอกาสให้รีบนิมนต์พระมาในงานกุศล มิเช่นนั้น 
						คนอื่นต้องนิมนต์พระมาสวดศพท่านในอนาคตอย่างแน่นอน 
						
						ไปหาพระบ้าง 
						อย่าให้พระมาหาถึงบ้านหรือศาลาวัดเลยครับ 
						คำสอนของพระพุทธองค์นั้น มั่นคงมากว่า 
						๒,๕๐๐ ปีแล้ว และจะคงมั่นเป็นสัจธรรมต่อไป 
						ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ที่จะนำไปปฏิบัติเท่านั้นเอง 
						เราต้องช่วยกันครับ ถ้าเป็นไปได้ 
						ทำให้ถึงกับสร้างเครือข่ายคนไปวัดทุกวันพระก็ได้ 
						คนยิ่งไปวัดทำุบุญมากเท่าไร 
						นั่นย่อมหมายถึงความสงบสุขของสังคมก็จะเิกิดขึ้นในไม่ช้า 
						เอาละครับ เขียนมาซะยืดยาวแค่จะถามว่า 
						 
                      
						มีใครไปไหว้พระทำบุญในวันพระบ้างครับ 
                        
                      ด้วยจิตคารวะ 
                      กระดานดำออนไลน์ |