ประมาณ
๘.๐๐ น. ตามเวลาท้องถิ่น
คณะของเราก็ออกเดินทางจากเมือง
Fresno
เพื่อมุ่งหน้าสู่อุทยาน
แห่งชาติ Yosemite (บางคนก็ออกเสียงว่า
"โยเซมิตี้" หรือ "โยเซไมท์"
ผมขอใช้ภาษาต้นฉบับก็แล้วกัน) ความที่เป็นคนชอบธรรมชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แค่ได้ยินชื่อก็ขนลุก
นี่ผมอยู่ห่างจากเขาไม่ถึง
๓ ช.ม.
ระยะทางจาก Fresno
ไปที่นั่นประมาณ ๙๒
ไมล์ ค้างไว้ในตอนที่แล้วที่เล่าถึงช่วงค่ำที่ผ่านมา
ซึ่งพวกผมได้ไปตระเวณท่องราตรี
(ที่เงียบเหงา) ใน Fresno
แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ขอลงเล่นน้ำในสระน้ำ
... เรื่องมีอยู่ว่า พวกคณะครูผู้หญิงที่ลงเล่นน้ำ
คุณ เธอ และป้าๆ
ทั้งหลาย (ฮา)
ก็ใส่ชุดว่ายน้ำลงเล่น
และเผอิญมีหนุ่ม
ฝรั่งผมทองหน้าตาดี (เขาว่า)
มาลงเล่นน้ำด้วย
และมาในชุดกางเกงกีฬา
ทำเอาสาวมาก
สาวน้อยทั้งหลาย
ตึง ตะลึง ตึ่ง ตึ้ง ตึ่ง
ตึง กันเป็นแถว
และต่างก็จ้องจนแน่ใจว่า
หมอนั่นไม่ได้ใส่ กกน.
มาด้วย
และรุ่งเช้าทุกคน
ที่ลงเล่นน้ำก็มายืนยันกันว่า
"หมอนั่นไม่ได้ใส่ กกน."
จริงๆ ... ที่จริง
จำกว่านี้
แต่ผมเขียนไม่ขำ (ฮา) เป็นเรื่องราว
เรื่องเล่าระหว่างการเดินทางละครับ
กับระยะทาง ๙๒ ไมล์
แต่ต้องใช้เวลาเกือบ ๓
ช.ม.
เนื่องจากเป็นทางขึ้นเขานั่นเอง
คุณบ๊อบเองก็มาที่นี่หลายครั้ง
เลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
แถมเป็นไกด์ในบาง
ช่วงให้พวกเราด้วย เคยท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติของไทยมาบ้าง
อีกทั้งดูทีวี
อ่านนิตยสารท่องเที่ยวพอสมควร
เลยคิดว่า
บ้านเรานี่แหละมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยสดงดงามไม่แพ้ที่ใดในโลก
พอได้มาสัมผัสกลิ่นไอ
ของธรรมชาติที่ห่างไกลจากบ้านเราค่อนโลก
ต้องยอมรับละครับว่า
สวยจริงๆ
นี่ถ้าผมได้ไปแถวๆ
ยุโรป
คงช็อคกับความงามของธรรมชาติเป็นแน่แท้
เอ้า ถึงอย่างไร
ผมก็ยังรักประเทศไทยอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ
อย่างไรก็ดี
เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว
ก็อยากจะขอเล่าเรื่องของ
Yosemite ให้ได้รับทราบกัน
พอสังเขปนะครับ
เมื่อปี
ค.ศ. ๑๘๖๘ John Muir
นักนิยมธรรมชาติผู้โด่งดังของอเมริกา
ได้เดินทางมา
ค้นพบหุบเขา Yosemite
หลังจากเริ่มต้นเดินสำรวจธรรมชาติด้วยเท้าจากรัฐเคนตักกี้
ในปี ค.ศ.๑๘๖๗
เขาใช้เวลาเดิน ๒ ปี
จนกระทั่งพบสิ่งที่เขาได้บรรยายไว้ว่า
"ไม่มีวิหารใดที่สร้างจากน้ำมือมนุษย์จะสวยงามเท่า
Yosemite หินทุกก้อนล้วน
ฉาบด้วยชีวิต" |
|
และด้วยความรักในธรรมชาติ
เขาต้องการที่รักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ให้อยู่ตราบนิรันดร์
จึงได้พยายามผลักดัน
ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ
ซึ่งผลแห่งความพยายามนั้นบรรลุผลในปี
๑๘๙๐
ถือเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่สอง
ของโลก
ต่อจากอุทยานแห่งชาติ
Yellowstone
ในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน Yosemite
เป็นอุทยานที่เป็นสุดยอดปรารถนาของนักนิยมธรรมชาติทั่วโลก
ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยว
กว่า ๓
ล้านคนแวะมาดื่มด่ำความงดงามของธรรมชาติที่นี่ ในปี
ค.ศ.๑๙๘๓
พระราชินีอลิซเบ็ธที่ ๒
แห่งอังกฤษ
เสด็จมาเยือนแคลิฟอร์เนีย
พระองค์มีพระราชประสงค์
ว่าจะประทับในแหล่งที่ขึ้นชื่อของรัฐนี้
ซึ่ง Yesemite
เป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเลือก
 |
ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม
เราไต่ระดับความสูง
เหนือระดับน้ำทะเลไปเรื่อยๆ
ถ้าจำไม่ผิดกว่า ๕,๐๐๐
ฟิต ละครับ
ต้นไม้ของที่นี่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
ส่วนใหญ่จะ
เป็นไม้สน
และต้นซีควอยเออ
มีตั้งแต่ต้นเล็กๆ
เท่า
ขากระทั่งหลายคนโอบ
ต่างจากป่าของบ้านเราที่มี
ความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่า
นี่กระมังที่
เป็นจุดขายทางธรรมชาติของเรา
แต่นับวันสิ่งเหล่านี้
เริ่มสูญหายไปทีละนิด
สักวันคงไม่มีให้คนรุ่นหลังเห็น |
กระทั่งมาถึงอุโมงค์ที่เห็นดังภาพนี่แหละ
พอลอดอุโมงค์ไปเท่านั้น
สวรรค์ที่ John Muir
ได้ค้นพบเมื่อกว่า
๑๐๐ ปีที่ผ่านมา
และได้ผลักดันให้ทุกฝ่ายได้เห็นความสำคัญจนเป็นอุทยานแห่งชาติงดงามยากจะบรรยาย นับเป็นบุญตาของผมจริงๆ
แม้จะเคยอ่าน
เคยดูภาพในนิตยสาร
หรือในทีวีมาบ้าง
แต่พอมาเห็นด้วยตัวเอง
สิ่งที่เคยอ่าน
เคยผ่านตา
นั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าขณะนี้ 
๑๑
นาฬิกา
ตามเวลาท้องถิ่น
เรามาถึงจุดถ่ายภาพ
โดยมี El capitan
เด่นสง่าเป็นฉากหลัง
กลบความ
หล่อเหลา (ไม่เอาการ)
ของผมจนหมด คณะของเราแวะถ่ายภาพและดื่มด่ำกับความงาม
ชั่วระยะหนึ่ง
ก่อนจะมุ่งหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
และชม Yosemite Waterfall
ที่ว่ากันว่าสูงที่สุดใน
โลก ทันทีที่ลงจากรถ
ผมแบกอุปกรณ์ถ่ายภาพตรงดิ่งไป |
 |
ยังน้ำตกทันที
ถึงแม้จะไม่อยู่ในช่วงหน้าแล้ง
แต่ก็ยังมีสายน้ำให้เห็นพอให้เราได้ชื่นใจกันบ้าง
ไม่รู้จะอธิบาย
หรือพรรณนาออกมาเป็นตัวหนังสืออย่างไรดี
นี่ขนาดมีน้ำน้อยนะครับ
หากเรามาในช่วงที่น้ำมาก
คือเดือน
พฤษภาคม-มิถุนายน
คงจะได้เห็นความอลังการของมัน
แต่ตอนนั้นเราเพิ่งจะมาถึงสหรัฐและเริ่มสอน
!!!
Yosemite
Waterfall มี ๒ ชั้น
ชั้นบนสูง ๑,๔๓๐ ฟุต
หากรวมกับด้านล่างแล้วจะสูงถึง
๒,๔๒๕ ฟุต
แค่ชั้นบนชั้นเดียวก็สูงกว่าน้ำตกไนแองการ่าแถบนิวยอร์ค-แคนาดา
ถึง ๙ เท่า ... |

กับ Yosemite Waterfall
|
ชื่นชมกับน้ำตกสมควรแก่เวลา
ผมก็รีบปลีกวิเวกไปยังจุดหมายที่
เล็งไว้เมื่อตอนรถแล่นเข้ามา
ด้วยความที่ชอบถ่ายภาพโดยเฉพาะ
ภาพธรรมชาติ
แม้จะไม่ค่อยมีโอกาสบ่อยครั้งนัก
แต่ถ้ามีโอกาสแล้ว
ผมก็จะไม่ยอมปล่อยโอกาสทองให้ผ่านไป
อ้อ!!!
ลืมบอกไปว่าอุทยานนี้มีเนื้อที่กว่า
๗ ตารางไมล์หรือ ๑๗
ตาราง
กิโลเมตร
และผมมีเวลาอีกเพียง
๒ ชั่วโมงกว่าๆ
ก็คงไปได้ในรัศมี
ไม่เกิน ๑
ตารางกิโลเมตร
จะว่าไปแล้วแค่รัศมี
๑ กิโลเมตรเนี่ย
ก็คุ้มค่าแก่ชีวิตมนุษย์น้อยๆ
อย่างผมแล้วละครับ
ใครที่เคยไปภูกระดึงแล้วพอมาที่นี่
อาจจะมีความ
รู้สึกแรกว่าคล้ายๆ
แต่พอซึมซับไปเรื่อยๆ
ก็เริ่มรู้ว่า
ที่นี่มันยิ่งใหญ่
อลังการกว่าจนเทียบกันไม่ได้เลยละครับ
ต้นไม้ใหญ่ขนาด
๒ คนโอบไม่รอบ
มีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป
ลำธารน้ำใส
ไหลเย็น
สะอาดตากับสีสันของพฤกษ์ไพร
ผิดแปลกแตกต่างกับบ้านเรา |
|
ไม่ใช่ว่าชื่นชมหรือเห่อของนอกอะไรนะครับ
แต่ถ้ายอมรับในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว
ผมก็ว่าตามที่ผม
เห็นนั่นแหละ ผมตระเวณถ่ายรูปในรัศมีดังที่ว่า
และพยายามหามุมมองและพรรณไม้ที่แตกต่างจากบ้านเรา
ก็อย่างที่บอกละครับว่าป่าไม้ที่นี่มีความหลากหลายสู้บ้านเราไม่ได้
แต่ความสวยสดงดงาม
ต้องยกให้เขา
เอาเป็นว่าดูรูปกันเลยดีกว่า
เพราะผมไม่มีอะไรอธิบายไปมากกว่านี้แล้ว
เพราะหลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว
คณะของเราก็พักกินข้าวกลางวัน
จากนั้นก็ตระเวณถ่ายรูปกันต่อจนเหนื่อย
...และแวะซื้อของที่ระลึก
ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง
San francisco
|
|