การศึกษาของโลกปัจจุบัน
พุทธทาสภิกขุ
บรรยายอบรมกลุ่มนิสิต นักศึกษา บวชภาคฤดูร้อน
ณ สวนโมกขพลาราม ไชยา
**********

สรุปสั้นๆ ก็มีว่า ทางด้านหนึ่งก็คือการเกลียดระเบียบกฏข้อบังคับ ทางศีลธรรม ความกดดันทางศีลธรรมที่มีอยู่อย่างแบบเก่า คือต้องเคร่งครัดในศีลธรรม นี้กดดันเด็กพวกนี้ไม่ชอบ; แล้วอีกทางหนึ่ง คือขาดความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องปรมัตถธรรมของชีวิต ขาดความรู้ทางปรมัตถธรรม ที่ผมเรียกว่าบรมธรรมนี้. เรื่องบรมธรรมนี้ คือปรมัตถธรรมชองชีวิตเพราะเขาขาดความรู้เรื่องนี้. ดูเอาเถิด อย่างทีแรกนั้นคือความถูกบังคับกดดันของศีลธรรมของระเบียบ ของอะไรต่างๆ ที่คนสมัยโบราณเขายินดีรับ แต่เด็กๆ สมัยนี้ไม่ยินดีรับ. เมื่อทั้ง ๒ อย่างนี้ รวมกันเข้ามันก็เกิดลัทธิฮิปปี้ คือตามใจตัวตาม วิถีทางแห่งประชาธิปไตยที่มีอิสรภาพ เสรีภาพ; แล้วลัทธินี้มันก็เกิดเอง ไม่ต้องมีใครไปทำให้เกิด มันก็เกิดเอง สิ่งต่างๆ เป็นไปตามกฎธรรมชาติ หรือตามกฎของพระเจ้า.

เมื่อทนการควบคุมของศีลธรรมไม่ได้ ก็หาทางออก อ้างเป็นเสรีภาพเมากันยิ่งกว่าเมาเหล้า มันก็ต้องไปตามใจของกิเลส แล้วพวกนี้ยังจะมีหน้ามาเผยอพูด ว่าเป็นเรื่องทางวิญญาณ หาอิสรภาพทางวิญญาณ. แต่ว่าที่เขาพูดวิญญาณๆ นั้นมันคนละความหมาย เพราะว่าวิญญาณของมนุษย์หรือของอารยชน ของพระอริยเจ้าก็อย่างหนึ่ง วิญญาณของภูตผีปีศาจ ก็อีกอย่างหนึ่ง. ถ้าพูดว่า “ทางวิญญาณ” ก็ต้องวิญญาณของอารยชน ของพระอริยเจ้าจึงจะได้ ไม่ใช่วิญญาณของภูตผีปีศาจ ที่เมาในกามารมณ์แล้วใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือสำหรับอ้าง เพราะฉะนั้นผลก็เกิดขึ้นคือลัทธิฮิปปี้. การตามใจตัว ไม่อยู่ในขอบเขตของอะไรไม่ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าจริยธรรมหรืออะไรทำนองนั้น มีอะไรเป็นของตัวหมด สิ่งนี้เป็นผลของการศึกษาที่จัดไปไม่ถูกตามความต้องการของพระเจ้า.

การศึกษาของโลกในสมัยปัจจุบันนี้จัดไปไม่ถูกตามความต้องการของพระเจ้า ซึ่งผมเรียกสั้นๆ ว่า ธรรม หรือ พระธรรม.

ลองคิดดูให้ดี ว่าสิ่งที่ไม่ควรจะเกิด มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดขึ้นมาแล้วเป็นปัญหาหนักที่สุด. พุทธบริษัทแท้จริงที่ยังเหลืออยู่บ้าง ก็ยังหนาวๆ ร้อนๆ ว่าลัทธิอย่างนี้ จะครอบงำเอา คือครอบงำหมดทั้งโลก. การศึกษาของโลกในสมัยปัจจุบัน นำไปสู่ลัทธิฮิปปี้นี้ ยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกทีนี้เพียงแต่ตอนก่อหวอด ต่อไปในอนาคตจะยิ่งขึ้นทุกที คือการบูชาความสุขทางเนื้อหนัง หรือถือเราความสุขทางเนื้อหนังเป็นพระเจ้าอย่างที่เขาพูดกันไว้แต่กาลก่อนนั้นแหละ ไม่แปลกอะไร.

อย่าเข้าใจว่าลัทธิฮิปปี้นี้ เพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่ปี ในพวกฝรั่ง มันเกิดมาแล้วครั้งพุทธกาลหรือก่อนพุทธกาล แต่ว่ามันเป็นรูปอย่างอื่น แต่ความหมายเดียวกัน คือฟรีอย่างภูตผีปีศาจ เป็นอิสรภาพอย่างภูตผีปีศาจ อย่างนี้มาแล้วก่อนพุทธกาล. มนุษย์ที่มีจิตใจหลงอิสรภาพ เสรีภาพ แล้วก็ฟรีตามความต้องการของกิเลสนั้น คือลัทธิฮิปปี้อย่างที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ของแปลก. แล้วมันมีเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ไม่ได้เพราะระบบศีลธรรม จริยธรรม ระบบศาสนามันมีอยู่ ระบบที่มีความเคารพบิดามารด ครูบาอาจารย์ มันมีอยู่ มันโผล่ออกมาไม่ได้.

ทีนี้พอมาถึงสมัยที่โลกนี้ก้มหัวลงเป็นทาสของวัตถุ บูชาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังเป็นสรณะ เป็นพระเจ้า มันก็โผล่ออกมาได้มันเป็นรูโหว่ใหญ่ เลยก็โผล่ออกมา เป็นช่องโหว่สำหรับความรู้สึกที่เป็น animal instinct มันดันออกมา. การศึกษาไม่ได้โผล่จัดเพื่อจะปราบปรามเสียซึ่ง animal instinct เสียแล้ว มันก็โผล่ออกมาๆ  จนมาในรูปที่เป็นอย่างที่ว่า นักศึกษานัดกันหกหมื่นคนไปแก้ผ้ากันที่หาดทราย ในที่สาธารณะ ต่อหน้าธาระกำนัลแล้วต่อไปมันก็จะมีอะไรมากไปกว่านี้ คือเลยการเปลือยกายไปอีก.

เพราะฉะนั้น ขอให้สังเกตดูระบบการศึกษาอยู่ในสภาพอย่างไร อยู่ในสภาพเป็นทาสทางวัตถุนิยมหนักขึ้นๆ หนักขึ้นๆ เป็นฝีมือของนักปราชญ์สมองใส เป็นศาสตรจารย์สมองใสทั้งนั้น ที่วางแผนการศึกษา แล้วผลก็เป็นอย่างนี้แยกดูเป็นอย่างๆ ก็ได้:

พุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา หัตถศึกษา อย่างที่เขาว่าๆ กันนั้น ก็ถูก การที่แบ่งกฎเกณฑ์อย่างที่เขาว่านี่ก็ถูกแต่ทีนี้เราดูพุทธิศึกษาก่อน : พุทธิศึกษา มันแปลว่าสติปัญญาสูงสุด นั้นมันเป็นทาสของวัตถุนิยม. พุทธศึกษาตกไปเป็นทาสของวัตถุนิยมหมดเนื้อประดาตัว. ตามหลักพุทธศาสนาเราถือว่าสิ่งที่เรียก “ปัญญา” นั้น ต้องเป็นเจ้า – เป็นนาย ไม่ใช่เป็นทาส. ถ้าสิ่งที่เรียกว่าปัญญาความรู้ตกไปเป็นทาสแล้ว ไม่เรียกว่าปัญญา. เดี๋ยวนี้คำว่า “พุทธิ” หรือปัญญานั่น ตกไปเป็นทาสของความสุขทางเนื้อหนัง พุทธิศึกษาของโลก ตกไปเป็นทาสของวัตถุ ทางเนื้อหนัง.

จริยศึกษา ก็เป็นเพียงบทท่องจำ หาดูก็ยังยาก จริยศึกษากลายเป็นเพียงบทท่องจำ บทอาขยานทำนองนั้นไป ไม่ใช่จริยะ คือการประพฤติ ปฏิบัติอยู่ที่กาย วาจา จิต อยู่ที่เนื้อที่ตัว มันเป็นเพียงบทท่องจำในสมุด แล้วก็ยังหาดูยากยังมีเป็นส่วนน้อย; ไม่มีโรงเรียนไหน ที่มีระเบียบวางไว้ให้คะแนนผู้ที่บังคับตัวเองได้ ผู้ที่ทำอะไรลงไปจริงๆ ตามหลักศีลธรรมและศาสนา มันกลายเป็นบทท่องจำในสมุด หรือบทท่องบทสวด อย่างสวดมนต์ ร้องเพลงไปเสีย. เพียงสวด “องค์ใด พระสัมพุทธ…..ฯลฯ….” เท่านี้ ก็ว่าเป็นจริยาศึกษาเต็มที่แล้ว เป็นเรื่องนกแก้วนกขุนทองมากกว่า. พิธีรีตองเหล่านี้ทำโดยไม่รู้ความหมาย ให้นักเรียนมีแต่ความเป็นนกแก้วนกขุนทองเกี่ยวกับจริยธรรมหรือศาสนา.

กิจการลูกเสือ ที่ว่าจะมีหวัง ทีแรกผมนึกหวังมาก แต่แล้วมันก็กลายเป็นพิธีรีตอง เด็กเดินไปอย่างละเมอๆ เหมือนกัน ยังไม่จริงจังถึงขนาดที่มันจะเป็นจริยศึกษาโดยสมบูรณ์ได้ มันเป็นเรื่องพิธีรีตอง เรื่องสนุกสนานไปเสียกลบเกลื่อนเนื้อแท้ของมันไปเสีย. นี่ จริยศึกษาเป็นเพียงบทท่องอาขยาน แล้วก็ยังหาดูยาก หรืออยู่ในสมุดอีกด้วย.

ส่วนพลศึกษานั้น กำลังโก้ดี ขออภัยที่พูดคำโสกโดก คือว่า มันโก้ดี แล้วก็บูชากันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช่นการกีฬา มีระหว่างชาติ ระหว่างประเทศ ระหว่างบุคคล แต่แล้วสนามกีฬา กลายเป็นที่ฝึกฝนความเห็นแก่ตัว ขอให้คุณได้ดูในส่วนนี้ด้วย. ที่ว่า “โก้ดี” นั้น สนามกีฬานั่นเองเป็นสนามสำหรับฝึกหรือเพิ่มความเห็นแก่ตัว. กองเชียร์นั้นคือสะปิริตแห่งการเห็นแก่ตัว อย่าไปเข้าใจว่า อ้ายนี่มันดีวิเศษที่แท้มันคือภูตผีปีศาจแห่งความเห็นแก่ตัว แล้วมาอยู่ในรูปของกองเชียร์ ฉะนั้นมันจึงมีการชกต่อยวิวาทกันตรงในสนามกีฬานั่นเอง. เมื่อลูกบอลล์อยู่ในมือนั่นเอง ก็มีการทะเลาะวิวาทมีการทำอันตรายกันอย่างภูตผีปีศาจในสนามกีฬา. 

การเตรียมกีฬา ก็คือการเตรียมที่จะไปชนะเขาเอาเกียรติให้แก่เรา ผิดจากความมุ่งหมายหรือเจตนารมย์แต่โบราณกาลของการมีกีฬา คือเพื่อให้มีการเล่นออกกำลังกาย เพื่อเสียสละ ในเมื่อถูกผู้อื่นล่วงเกินพลั้งพลาด. เดี๋ยวนี้ในสนามกีฬานั่นแหละ ถือลัทธิ “ฟันต่อฟัน – ตาต่อตา” และจะมากขึ้นๆ มากขึ้นๆ จนกระทั่งกองเชียร์ใช้ระเบิดขวด คุณดูเถิด ว่าคำว่า “โก้ดี” พลศึกษากำลังโก้ดีมันโก้อย่างไร. โก้ก็คือ ที่มีเนื้อหนังเป็นพลังขึ้นมาก็สำหรับรักษา หรือแสดงออกซึ่งความเห็นแก่ตัว. โรงเรียนไหนก็เห็นแก่โรงเรียนของตน ประเทศไหนก็เห็นแก่ประเทศของตน กีฬาระหว่างชาติก็มีชกต่อยกัน จนฟันหัก หัวแตก. นี่แหละ สูงสุดอยู่ที่นี่ สำหรับพลศึกษา.

ที่นี้ หัตถศึกษา หัตถศึกษาในที่สุดคือคว้าดวงจันทร์ได้เลย มือยาวไปคว้าเอาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มาไว้ได้ในอำนาจ ไม่ใช่เพียงแต่สานตะกล้ากระบุงเท่านั้น ยอมให้ว่าในอนาคตมันจะถึงขนาดเที่ยวไปคว้าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาว มาถือไว้ได้ แต่แล้วมันก็เพื่อประโยชน์อะไร? ดีที่ตรงไหน? ไปลองคิดดู มันก็มีแต่ว่าอวดโชว์ผู้อื่น ว่ามีของกูดี ของกูดีกว่าใคร ของกูวิเศษกว่าของใคร อวดชูหรูหรา ร่าอยู่อย่างนี้มันก็ไปไม่รอด ในการที่จะบรมธรรม. หัตถศึกษาเห็นเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องอำนาจวาสนา หรืออะไรที่จะไปเป็นเรื่องปากเรื่องท้อง. ไปเอาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์มาเคี้ยวกินได้ มันก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นเลย.

นี่ ผมพูดอย่างนี้ ก็คงมีคนจำนวนมาก หาว่าผมเป็น Pessimistic อะไรไปในทำนองนั้น ก็ตามใจ ผมพูดตามความรู้สึกเสมอ พูดตามความรู้สึกที่มองเห็นสิ่งที่เป็นอันตราย และยังมองไม่เห็นในแง่ดี คือในแง่ Optimist ในแง่ที่ว่ามันจะรอดไปได้อย่างไร เพราะมันถลำลึกเข้าไปอย่างนั้นมากขึ้นๆๆ การศึกษาของโลกถลำลึกลงไปในบ่อในหลุด ของซาตาน ของพญามาร ทางเนื้อหนังมากขึ้นทุกที จึงไม่มีวี่แววที่ว่าจะไปสู่บรมธรรม.

การศึกษาของมนุษย์ มันต้องพูดอย่างกำปั้นทุบดินว่า ต้องเพื่อให้มนุษย์ได้ สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ เพราะฉะนั้นเขาก็คงไม่ปฏิเสธอุดมคตินี้ แม้ในเวลานี้ แต่เขาไปตีความ สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ นั้น ไปเสียอย่างอื่นคือไปทางวัตถุ ไปทางเนื้อหนัง โดยถือเสียว่า ถ้าเนื้อหนังมันดีแล้ว ใจมันก็ดี อย่าง Dialectic materialism ซึ่งเป็นกันทั้งโลก. ถ้าร่างกายดี จิตใจก็ดี; ปัญหาทางวัตถุหมดปัญหาทางจิตใจหมด; มันถือเป็นเรื่องเดียวกันเสียอย่างนี้ นำเอาเรื่องทางวิญญาณไปเป็นบริวาร เป็นทาสของเรื่องทางเนื้อหนังไป. ส่วนเราต้องการแยกออกจากกัน ในเรื่องทางวิญญาณเป็นนายเป็นเจ้า ควบคุมวัตถุ ควบคุมเนื้อหนังนั่นแหละมันจึงจะถือว่าได้ สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ.

ที่นี้เขาตีความ สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ เป็นเรื่องเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายที่เรียกว่า กินดี – อยู่ดี นั่นยกเป็นสรณะสูงสุด เป็นพระเจ้า. ส่วนเราให้ถือตามหลักพระพุทธเจ้าตรัสว่า กินอยู่แต่พอดีอย่ากินส่วนเกิน อย่ามีส่วนเกิน อย่าใช้ส่วนเกิน กินอยู่แต่พอดีเท่าที่จำเป็น เพื่อจะให้ไปได้อะไรอีกอันหนึ่งซึ่งสูงสุดที่เรียกว่า “บรมธรรม” เพราะฉะนั้น การกิน – การอยู่นี้ เป็นเพียงอุปกรณ์ เป็นปัจจัยอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อมีชีวิตอยู่ แล้วให้ประพฤติกระทำให้ได้มาซึ่งบรมธรรม. เดี๋ยวนี้เขายกเอาการกินดี – อยู่ดี เป็นสิ่งสูงสุด เป็นบรมธรรมเสียเอง ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือให้ได้บรมธรรม 

เพราะฉะนั้น เรื่องจึงกลับกัน. การศึกษาในมหาวิทยาลัยระดับสูงสุดอย่างไรก็ตาม มันกลายเป็นเพื่อกินดี – อยู่ดี มีความกินดีอยู่ดี เป็นบรมธรรมไปเสีย ไม่ใช่เป็นเครื่องมือเพียงเพื่ออยู่ได้ มีชีวิตอยู่ในลักษณะที่เหมาะสมแล้วตะเกียกตะกายต่อไปๆ จนได้จนถึง บรมธรรม. คำว่าบรมธรรม เพียงขนาดจริยธรรมสากลนี้ มันก็ไม่ได้ (บรมธรรมเพียงขนาดจริยธรรมสากลที่เราพูดกันมาแล้ว คือมีความสุขที่แท้จริง, มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์, มีการทำหน้าที่เพื่อหน้าที่, มีความรักสากล).

ความสุขของคนสมัยนี้ ก็คือเนื้อหนัง คือทางคริสเตียนเขาเรียกว่าเนื้อหนัง ได้แก่ความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี้เรียกว่าเนื้อหนังนี้คือความสุขในความหมายจองจริยธรรมสากล เขาไปเปลี่ยนความหมายให้มันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ความสุขที่สะอาด ที่ถูกต้อง.

ความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ ของเรานั้นก็คือว่าวัตถุเต็มเปี่ยม ร่างกายสมบูรณ์ไปด้วยเหยื่อ เขาเรียกว่าเต็มเปี่ยม นี่คือความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ของระบบเนื้อหนังนี้.

หน้าที่เพื่อหน้าที่ ที่เขาว่าๆ นั้น ก็คือเพื่อดื่มเพื่อกิน ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้เราอาจจะตายเสียได้ Eat drink and be merry ; for to - morrow we may die. มันท่องกัน แต่บทอย่างนี้. ฉะนั้นหน้าที่ ก็เพื่อกิน เพื่อดื่ม ได้กินได้ดื่มเสียเร็วๆ นี่คือหน้าที่. หน้าที่เพื่อหน้าที่เขาหมายเสียอย่างนี้ คิดดูเถิด. ทางเราว่า หน้าที่เพื่อหน้าที่หมายความว่า หน้าที่เพื่อหน้าที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่งานเพื่อเงิน เพื่อกิน เพื่อดื่ม เพื่อเนื้อหนัง.

อันสุดท้าย ความรักสากล ของเราก็คือเอามาเป็นพวกของตัวเพื่อไปปล้นคนอื่น. ความรักสากล มันคืออย่างนั้นไปลงทุนลงแรงหว่านล้อมมาเป็นพวกเราให้มากที่สุด เพื่อให้ไปปล้นคนอื่น นั่นคือความรักสากลของวัตถุนิยม มันเป็นอย่างนั้น. ถ้าความรักสากลตามมโนนิยมมันไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีตนของเขาของเรา; ความเป็นอันเดียวกันทั้งหมด มันก็เกิดขึ้นมาทันที. มนุษย์มีเพียงคนเดียวในสากลจักรวาล ไม่มีเป็นคนๆ แล้วมีเขา มีเรา คือมันเหมือนกันหมด เป็นคนๆ เดียวกันแท้. นี่ คือความรักสากลตามแบบมโนนิยม. ความรักสากลตามแบบเนื้อหนังหรือวัตถุนิยม คือหาพรรคพวกให้มากๆ แล้วปล้นคนอื่นเอามาเป็นของเราให้หมด. นี่ ความรักเพื่อนของวัตถุนิยมเป็นอย่างนี้. แล้วก็มันไม่ใช่ผลของอะไรอื่น นอกจากผลของการศึกษา ที่มันเดินไปผิดทาง จึงเปิดช่องโหว่ให้มนุษย์เกิดความคิดอย่างนี้ แล้วตกไปสู่กระแสแห่งความคิดอย่างนี้มากขึ้นๆ.

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เราจะมานั่งตั้งกองด่ามนุษย์กันในเวลาหัวรุ่งเช่นนี้ แต่เรามาหลับตาพินิจพิจารณาด้วยจิตใจที่ถือว่ามันละเอียดละออที่สุด ในเวลาอย่างนี้ คือ ตอนหัวรุ่ง มองดูโลกตามที่เป็นจริง ตามแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ว่า ปญญา ปาสาท มารุยหฯ ให้หาโอกาสสงบสงัด แล้วขึ้นสู่ปราสาทแห่งปัญญา คือยอดภูเขาแห่งปัญญา แล้วมองดูมนุษย์ทั้งหลาย ที่กำลังเป็นอย่างไร ที่กำลังถูกความทุกข์ – ความโศกบีบคั้นอย่างไร. ท่านสอนให้ขึ้นสู่ยอดเขาสูงสุดของปัญญา แล้วก็ดูมนุษย์ทั้งหลายที่เกลื่อนกล่นอยู่ในความทุกข์นี้อย่างไร เช่นเดียวกับบุคคลขึ้นสู่ยอดภูเขาแล้วมันมองเห็นพื้นดินเบื้องล่าง. 

นี่แหละ เราหาโอกาสขึ้นสู่ปราสาทของปัญญา แล้วก็มองดูโลกตามที่เป็นจริง ว่ามันเป็นอยู่อย่างไร. แล้วเราจะขึ้นสู่ปราสาทของปัญญาได้ก็ต้องอาศัยการศึกษา การศึกษาทำให้เกิดปัญญา และปัญญาที่ถูกต้องไม่ใช่ปัญญาที่ตลบตะแลง. การศึกษาทำให้เกิดปราสาทแห่งปัญญา ขึ้นไปได้แล้วมองดูโลก มองดูชีวิตตามที่เป็นจริงแล้วก็รู้สึกอย่างไร เห็นอย่างไร มีอะไรอย่างไร ก็จะได้จัด – ได้ทำแก้ไขไปให้มันถูกต้อง เพราะฉะนั้นการที่เราพูดถึงการศึกษาของโลกในสมัยปัจจุบันนี้ ที่เกี่ยวข้องกับบรมธรรมในลักษณะอย่างไร หรือไม่เกี่ยวข้องกันเลย เราจึงพูดกันอย่างอิสระเพราะว่าก็ชอบอิสรภาพเสรีภาพ ชอบประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่ว่าตามแบบของมโนนิยมหรือทางวิญญาณ.

เรายืนยันว่า การศึกษานั้น เพื่อกำจัดเสียซึ่งสัญชาตญาณอย่างสัตว์ มิใช่เพียงมีชีวิตรอด. มีชีวิตรอดอยู่แล้วยังจะต้องกำจัดเสียซึ่งสัญชาตญาณอย่างสัตว์ เพื่อให้มนุษย์ได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้. เพราะฉะนั้นการศึกษานี้มันต้องเพื่ออบรมธรรม. 

สรุปความสั้นๆ ว่า การศึกษาทั้งหมดของมนุษย์นี้ต้องเพื่อบรมธรรม อื่นๆ เป็นบริวาร เป็นปัจจัยแวดล้อมของบรมธรรม. การศึกษาต้องเพื่อบรมธรรม ไม่ใช่เพื่อความรอด, การศึกษา ไม่ใช่เพื่ออาชีพ. ถ้าพูดว่าการศึกษาเพื่ออาชีพมันเป็นเด็กอมมือเกินไป ในโรงเรียนไหน ในมหาวิทยาลัยไหนจะสอนว่า การศึกษาเป็นไปเพื่อมีอาชีพ ผมว่านั้นพูดอย่างเด็กอมมือ. 

อนึ่ง การศึกษานี้ ไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตย. เขามักจะสอนกันว่า การศึกษานี้ เพื่อประชาธิปไตย บูชาประชาธิปไตย. ผมพูดแล้ว ว่าประชาธิปไตยนั้น ถ้ามันเป็นของมนุษย์ ก็ดีอยู่ แต่ถ้าเป็นของวัตถุนิยมแล้ว มันก็ทำโลกนี้ให้เป็นนรก. ถ้าทุกคนเป็นวัตถุนิยมจัด แล้วก็ได้ประชาธิปไตยไปเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน มันก็เป็นการช่วยกันหมุนโลกให้เป็นนรก กล่าวคือความเดือดร้อนนานาประการที่เกิดจากการลุ่มหลงวัตถุ. การศึกษานี้ ไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตย มันเพื่อความถูกต้อง เพื่อธรรมาธิปไตย อย่าเพื่อประชาธิปไตยเลย.

การศึกษา ต้องเพื่อธรรมาธิปไตย เมื่อเป็นธรรมาธิปไตยแล้ว เป็นเผด็จการก็ได้ เป็นประชาธิปไตยก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ การศึกษานั้น เพื่อธรรม เพื่อบรมธรรม เพื่อธรรมธิปไตย ให้ธรรมะครองโลก. ฉะนั้นการศึกษานี้ไม่ใช่เพียงเพื่อความรอด หรือความเอาตัวรอดเป็นยอดดี ซึ่งนั่นเด็กๆ หรือคนขลาด จะพูดว่า เอาตัวรอดเป็นยอดดี. การศึกษาไม่ใช่เรื่องของคนขลาด เป็นเรื่องของคนมีปัญญา ต้องมีปัญญาแท้จริงและสูงสุด. ฉะนั้นการศึกษาต้องเพื่อธรรม เพื่อธรรมาธิปไตย ไม่ใช่เพื่ออาชีพ ไม่ใช่เพื่อความรอด ไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตย ไปตามแบบสมัยวัตถุนิยม.

ที่นี้ คุณๆ ก็ไปพิจารณาดู ว่าการศึกษาของโลกสมัยปัจจุบันนี้ มันกระทำแก่บรมธรรมอย่างไร มันมีผลแก่บรมธรรมอย่างไร; แล้วคุณก็จะพบได้เองว่า อะไรเป็นอุปสรรคแห่งการบรรลุถึงบรมธรรมในปัจจุบันนี้ ในเวลานี้ ในโลกนี้ : อะไรเป็นอุปสรรคแห่งการลุถึงบรมธรรม; และรู้ได้เลยว่าเมื่อบรมธรรมที่แท้จริงถูกต้อง ของพระเจ้า หรือของธรรม นั้นมันเป็นสิ่งที่เข้าถึงไม่ได้สำหรับมนุษย์สมัยนี้ แล้วเขาก็ตั้ง “บรมธรรม” อย่างอื่น ขึ้นมาแทน คือบรมธรรมทางเนื้อหนังความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่มีที่สิ้นสุด ที่กำลังพูดถึงกันอยู่ จนทำโลกนี้ให้ปราศจากบิดามารดา ครูบาอาจารย์ เรื่องมันมีอย่างนี้. 

นี่ วันนี้เราพูดถึงบรมธรรมเท่าที่เกี่ยวกันกับโลกทางการศึกษาของโลก ในสมัยปัจจุบัน หรือโลกในสมัยปัจจุบัน หรือโลกในสมัยปัจจุบันที่มีการศึกษาอย่างนี้. คุณบวชมาในผ้าเหลือง ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งบรมธรรม บูชาบรมธรรม ก็ต้องสนใจให้ถูกต้อง แล้วก็จะไม่เสียเวลาที่บวช แม้ในชั่วระยะอันสั้นนี้.

เวลา ๑ ชั่วโมงของเรา ก็หมดลงสำหรับวันนี้.

คัดลอกจากหนังสือ : การศึกษาคืออะไร? 
ชีวิตต้องเทียมด้วยควายสองตัว 
จัดพิมพ์โดย :ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม
้http://www.kradandum.com